แย้มสานสัมพันธ์
ปีที่ 18 ฉบับที่ 1 เดือน มิถุนายน พ.ศ.2562
ทักทายกันหน่อย
สวัสดีค่ะท่านผู้ปกครองและนักเรียนทุกคน แย้มสานสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับแรกสำหรับปีการศึกษา 2562 ซึ่งในแย้มสานฉบับนี้มีสาระน่ารู้ดีๆ ที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ ก่อนอื่นขอแนะนำครูคนใหม่ของโรงเรียนจำนวน 5 ท่าน ดังนี้
1. ครูชลธิดา กัมพลานนท์ สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ป.1
2. ครูภัทราวดี พรหมสมบัติ สอนวิชาภาษาไทย ป.2
3. ครูจิตสุภา อิ่มบุญสุ สอนวิชาคณิตศาสตร์ ป.5
4. ครูวาสนา เครือวัลย์ สอนวิชาสังคมศึกษา ป.6 และวิชาประวัติศาสตร์ ป.6
5. ครูวิภาวรรณ ไชยเดชกำจร ครูประจำชั้นอนุบาล 2/2
********************************************************************************************************
ข่าววิชาการ
ปีการศึกษาที่ผ่านมา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียน จำนวน 119 คน สามารถสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ในโรงเรียนต่าง ๆ ดังนี้
1.โรงเรียนโพธาวัฒนาเสนี 17 คน
2. โรงเรียนโพธาวัฒนาเสนี ห้องเรียนพิเศษ 14 คน
3. โรงเรียนเบญจมราชูทิศ 15 คน
4. โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ห้องเรียนพิเศษ 11 คน
5. โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 17 คน
6. โรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์ 9 คน
7. โรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์ ห้องเรียนพิเศษ 6 คน
8. โรงเรียนนารีวิทยา 1 คน
9. โรงเรียนดรุณาราชบุรี 4 คน
10. โรงเรียนสิริธรราชวิทยาลัย 6 คน
11. โรงเรียนนารีวุฒิ 3 คน
12. โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย 3 คน
13. โรงเรียนบรมราชินี ปากท่อ 2 คน
14. โรงเรียนราชินีบูรณะ จ.นครปฐม 2 คน
15. โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จ.นครปฐม 2 คน
16. โรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัย 1 คน
17. โรงเรียนสวนกุหลาบ รังสิต 1 คน
18. โรงเรียนสามพรานวิทยา 1 คน
19. โรงเรียนกีฬาเทศบาลนครปฐม 1 คน
20. โรงเรียนสายธรรมจันทร์ 1 คน
21. โรงเรียนสุริยวงศ์ 1 คน
22. โรงเรียนมัธยมวัดไทร 1 คน
ทางโรงเรียนขอแสดงความยินดีกับนักเรียนทุกคนด้วยนะคะ
กิจกรรมประจำเดือนมิถุนายน
1 มิถุนายน 62 กิจกรรมประชุมผู้ปกครอง
13 มิถุนายน 62 กิจกรรมวันไหว้ครู
14 มิถุนายน 62 กิจกรรมเลือกตั้งประธานนักเรียน
15-16 มิถุนายน 62 กิจกรรมค่ายพุทธบุตร ป.5-6
26 มิถุนายน 62 กิจกรรมวันต่อต้านยาเสพติด
27 มิถุนายน 62 กิจกรรมวันสุนทรภู่
ผู้ปกครองสามารถชมภาพกิจกรรมเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ของโรงเรียน WWW.YAMVITAYACARN.COM
สำนวนไทยน่ารู้
กินบุญเก่า หมายถึง ยังมีความดีเหลืออยู่ หรือ อยู่สุขสบายเพราะได้รับผลบุญจาก
กรรมดีที่ทำไว้แต่ชาติปางก่อน
ที่มา : https://www.xn--เกร็ดความรู้.net/สำนวนไทย-สุภาษิตไทยและคำพังเพยน่ารู้/
สาระน่ารู้
เจ็บคอ อย่ามัวแต่กินยาแก้อักเสบ
บางคนคิดว่าอาการเจ็บคอเกี่ยวข้องกับคออักเสบ จึงหา “ยาแก้อักเสบ” มากิน โดยหารู้ไม่ว่า “ยาแก้อักเสบ” นั้นที่แท้คือยาปฏิชีวนะที่มีประโยชน์ในการบำบัดโรคติดเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะเท่านั้น ไม่มีประโยชน์ในการแก้อักเสบที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ แต่อย่างใด การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อเกินจำเป็น นอกจากสิ้นเปลืองแล้ว ในระยะยาวยังอาจ เกิดโทษต่อร่างกาย เช่น ส่งเสริมให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา การแพ้ยา การเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้
สาเหตุที่พบบ่อยของอาการเจ็บคอ
1. กรณีเจ็บคอร่วมกับมีไข้
- คออักเสบจากเชื้อไวรัส /ไข้หวัด ผู้ป่วยจะมีไข้ เจ็บคอเล็กน้อย ตรวจดูภายในลำคอ ไม่พบว่ามีทอนซิลโตและผนังคอหอยไม่มีลักษณะอักเสบ (คือไม่พบว่ามีสีแดงกว่าปกติ) ในกรณีที่เป็นไข้หวัด จะมีอาการเจ็บคอในลักษณะดังกล่าวในวันแรกๆ และต่อมา
เมื่อมีอาการน้ำมูกไหล อาการเจ็บคอมักจะทุเลาไปเอง
- ทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยจะมีไข้สูง เจ็บคอมาก กลืนลำบาก ตรวจดูภายในลำคอพบทอนซิลบวมโต ออกสีแดงจัดและอาจมีจุดหนองอยู่บนทอนซิล
2. กรณีเจ็บคอโดยไม่มีไข้
- โรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอเล็กน้อย และมักมีอาการคันคอ คันจมูก จาม น้ำมูกใสๆร่วมด้วย เวลาสัมผัสถูกสิ่งที่แพ้ เช่น ฝุ่น ละอองเกสร อากาศเย็น เป็นต้น มักมีอาการเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง
- การระคายเคือง ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอเล็กน้อย เวลาถูกสิ่งระคายเคือง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เป็นต้น เมื่อละเว้นจากสิ่งเหล่านี้ก็จะค่อยๆ ทุเลาไปเอง
- แผลร้อนใน (แผลแอฟทัส) เมื่อเกิดขึ้นที่คอหอย ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคออย่างมาก จนกลืนและพูดลำบาก ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บทั่วลำคอ แต่สามารถบอกชี้ได้ว่ามีจุดที่เจ็บตรงไหนได้ชัดเจน อาการเจ็บจะเป็นมากที่สุดใน 3-4 วันแรก หลังจากนั้นจะเจ็บน้อยลง และค่อยๆทุเลาไปได้เองภายใน 7-10 วัน
- โรคกรดไหลย้อน มักพบในวัยกลางคนขึ้นไป (ส่วนน้อยอาจพบในวัยหนุ่มสาว) ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอเล็กน้อยในช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้า อาจมีอาการเสียงแหบหรือไอร่วมด้วย พอสายๆ ก็ทุเลาไป มักเป็นทุกวัน เรื้อรังเป็นแรมเดือน หรือจนกว่าได้รับการบำบัดรักษา บางคนอาจมีอาการเจ็บลิ้นปี่หลังกินอาหารร่วมด้วย
การดูแลตนเองเมื่อมีอาการเจ็บคอ สามารถปฏิบัติตัว ดังนี้
1. ควรไปพบแพทย์ หากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีไข้สูง และเจ็บคอมาก
- มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว
- มีอาการเจ็บคอทุกวันเกิน 1 สัปดาห์
- คลำได้ก้อนแข็งที่ข้างคอ
2. หากไม่มีอาการดังในข้อ 1 ควรให้การดูแลเบื้องต้นดังนี้
- งดดื่มเหล้า และบุหรี่
- หากมีน้ำมูกใสหรือมีอาการของโรคภูมิแพ้ ให้กินยาแก้แพ้ - คลอร์เฟนิรามีน
- หากมีไข้หรือเจ็บคอมาก ให้กินพาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง
- กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ โดยผสมเกลือป่น 1 ช้อนชาในน้ำอุ่น 1 แก้ว วันละ 2-3 ครั้ง
- หากไม่ทุเลาใน 4 วัน ควรไปพบแพทย์
ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/48922-เจ็บคออย่ามัวแต่กินยาแก้อักเสบ.html
มุมธรรมะ
ปจฺจุปฺปนฺเนน ยาเปนฺติ อ่านว่า ปัจจุปปันเนนะ ยาเปนติ
แปลว่า ควรดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน
ที่มา : https://news.ch7.com/proverb/พุทธศาสนสุภิต.htm
มุมสุขภาพ
อาหารแปรรูป วายร้ายทำลายไต
75% ของการเสียชีวิตของคนไทย มาจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่ง 22.05 ล้านคน ป่วยเป็นโรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมติดเค็ม ซึ่งคนไทยกินเค็มเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำถึง 2 เท่า นั่นคือ ราว ๆ 4,352 มิลลิกรัม/วัน ขณะที่เราไม่ควรกินเกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน
สูญเสียกันไปเท่าไหร่กับโรคที่เกิดจากการกินเค็ม แน่นอนว่ามูลค่านั้นสูงทีเดียว การประเมินความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากพฤติกรรมติดเค็มสูงถึง 98,976 ล้านบาท/ปี จากค่ารักษาพยาบาลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด กับไตวายระยะสุดท้าย 10,000,000 คน คือตัวเลขของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทย ซึ่งโรคดังกล่าวเป็นตัวตั้งส่งผลถึงอวัยวะอื่นๆในร่างกาย โดยเฉพาะไตที่ต้องทำงานหนักขึ้นจนเป็น “ไตวายเรื้อรัง” และต้อง ล้างไตสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ทำให้เสียค่าใช้จ่ายต่อปีราว ๆ 200,000 บาท หากรวมค่ายาด้วยก็แตะค่าใช้จ่ายถึง 400,000 บาทต่อปีเลยทีเดียว
เราจึงไม่สามารถปล่อยให้ทีมแพทย์รักษาผู้ป่วยที่เกิดจากติดเค็มได้ฝ่ายเดียว ดังนั้น การป้องกันและให้ความรู้กับประชาชนเป็นเรื่องสำคัญมาก โครงการ “ลดเค็ม ลดโรค” ของโครงการรณรงค์ลดการบริโภคโซเดียมในประเทศไทย โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงเกิดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงโทษของการบริโภคโซเดียม และหันกลับมาบริโภคเค็มในระยะ ที่ปลอดภัย
เครื่องปรุงที่มีเกลือโซเดียม
ไม่ว่าจะเป็น ‘เกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส กะปิ และซอสหอยนางรม’ นับเป็นเครื่องปรุงรสที่มีเกลือโซเดียมผสมทั้งหมด และยิ่งไปกว่านั้น คือพฤติกรรมของคนไทยที่เพิ่มรสเค็มลงไปในอาหาร เช่น เติมพริกน้ำปลาลงไปในข้าว เติมน้ำปลาลงในก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น จึงไม่แปลกที่ทำให้การบริโภคเค็ม/วัน เกินมาตรฐานของ WHO ไปถึง 2 เท่าเลยทีเดียว
ปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรส
เกลือ 1 ช้อนชา = 2,000 มิลลิกรัม
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ = 1,160 - 1,420 มิลลิกรัม
ซีอิ๊ว 1 ช้อนโต๊ะ = 690 - 1,420 มิลลิกรัม
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ = 1,150 มิลลิกรัม
กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ = 1,430 - 1,490 มิลลิกรัม
ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ = 420 - 490 มิลลิกรัม
นอกจากเครื่องปรุงรสแล้ว อาหารที่คนไทยนิยมกินและมีปริมาณโซเดียมสูงมาก คือ “อาหารแปรรูป” มาดูกันว่า อาหารแปรรูป แต่ละชนิดมีปริมาณโซเดียมอยู่เท่าไหร่
ขนมปัง แผ่น 1 แผ่น = 120 - 140 มิลลิกรัม
โดนัท 1 ชิ้น = 180 มิลลิกรัม
ซาลาเปา 1 ชิ้น = 200 มิลลิกรัม
ขนมเค้ก 1 ชิ้น = 400 มิลลิกรัม
แหนมย่าง 1 ไม้ = 480 มิลลิกรัม
ลูกชิ้นหมู 15 กรัม = 320 มิลลิกรัม
โบโลน่าหมู 15 กรัม = 410 มิลลิกรัม
หมูแผ่น 30 กรัม = 862 มิลลิกรัม
หมูยอ 2 ช้อนโต๊ะ = 227 มิลลิกรัม
ไข่เค็ม 1 ฟอง = 300-500 มิลลิกรัม
โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป 1 ซอง = 1,900 มิลลิกรัม
น้ำจิ้มข้าวมันไก่ 1 ช้อนโต๊ะ = 214 มิลลิกรัม
น้ำจิ้มสุกี้ 1 ช้อนโต๊ะ = 280 มิลลิกรัม
ซุปก้อน 1 ก้อน = 2,600 มิลลิกรัม
ส้มตำปู 100 กรัม = 2,000 มิลลิกรัม
ต้มยำปลากระป๋อง 100 กรัม = 3,000 มิลลิกรัม
แกงเลียง โซเดียมเฉลี่ย = 800 มิลลิกรัม
บะหมี่น้ำหมูแดง = 1,500 มิลลิกรัม
กวยจั๊บ = 1,450 มิลลิกรัม
ผัดไท = 1,200 มิลลิกรัม
อาหารที่เรากินเข้าไป เผลอๆ แค่เพียง 1 มื้อ ก็ทำให้ปริมาณโซเดียมที่เราควรบริโภคก็เกินแล้ว แต่เราสามารถบอกแม่ค้า พ่อค้าได้ว่า ใส่น้ำปลาเล็กน้อย หรือไม่ใส่เลย ก็ได้ ส่วนอาหารแปรรูปนั้นถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็เลือกกินในปริมาณที่เหมาะสม เพราะการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนั้น เกิดจากพฤติกรรมการกินที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง หาก “ลดเค็ม” ลงตั้งแต่วันนี้ พร้อมกับ “ลดหวาน ลดมัน” ด้วยแล้ว จะยิ่ง ทำให้สุขภาพดีและห่างไกลจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังแน่นอน
ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/47926-อาหารแปรรูปวายร้ายทำลายไต.html
เกมส์ลับสมอง ประลองปัญญา
เกมส์ : จับเลขลงช่อง (ให้นักเรียนนำตัวเลขที่ให้มาใส่ลงช่องให้ถูกต้อง)
3 หลัก 008 453 480 541 656 713 832
4 หลัก 0163 0352 0418 0432 0438 1012 1101 1118 1403
1447 1864 2006 2126 2403 3528 4056 4188 4442 4669
4953 5052 5056 5406 5583 5754 7039 7206 7210 7545
7787 8133 8842 8928 9013 9085 9159 9537 9765
5 หลัก 01719 01998 11642 13148 16336 28994 35298 37581 41813
43926
47170 49704 63715 67393 72701 73005 83790 84607 95040
6 หลัก 475048 476854 828121 937361 7 หลัก 0643134 1587087
8 หลัก 00921463 22830462 66340217 86029277
9 หลัก 052372955 095831154 283234787 734958392
.jpg)
ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม พ.ศ.2562
ทักทายกันหน่อย
สวัสดีค่ะท่านผู้ปกครองและนักเรียนทุกคน แย้มสานสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่สองแล้วนะคะ ซึ่งในแย้มสานฉบับนี้มีสาระน่ารู้ดีๆ ที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ ก่อนอื่นขอแนะนำครูคนใหม่ของโรงเรียนจำนวน 2 ท่าน ดังนี้
1. ครูเมวิกา สุขเจริญ ครูเตรียมอนุบาล
2. ครูนิภาพร เชื้อสมุทร ครูเตรียมอนุบาล
********************************************************************************************************
กิจกรรมประจำเดือนกรกฎาคม
7 กรกฎาคม 2562 กิจกรรมค่ายพุทธบุตร ป.3-4
12 กรกฎาคม 2562 กิจกรรมแห่เทียนเข้าพรรษา
กิจกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น
19 กรกฎาคม 2562 กิจกรรมวันภาษาไทยแห่งชาติ
16-17 กรกฎาคม 2562 หยุดวันอาสาฬหบูชา-วันเข้าพรรษา
24-26 กรกฎาคม 2562 ประเมินพัฒนาการระดับปฐมวัย
25-26 กรกฎาคม 2562 สอบกลางภาคเรียนที่ 1 ป.1-6
29 กรกฎาคม 2562 หยุดชดเชยวันเฉลิมพระชนมพรรษา ร.10
ผู้ปกครองสามารถชมภาพกิจกรรมเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ของโรงเรียน WWW.YAMVITAYACARN.COM
สำนวนไทยน่ารู้
ขี้แพ้ชวนตี หมายถึง แพ้ตามกติกาแล้ว ยังไม่ยอมรับว่าแพ้ จะเอาชนะด้วยกำลัง
ที่มา : https://www.xn--สำนวนไทย-สุภาษิตไทยและคำพังเพยน่ารู้/
สาระน่ารู้
ปราบยุงให้สิ้นลาย
“ยุงลาย” ถือเป็นแมลงที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อยุงลายกัด แล้วฉีดน้ำลายลงไปในบริเวณที่เจาะดูดเลือด บางคนจะมีอาการคัน แต่บางคนอาจมีอาการแพ้จนเกาและเป็นแผลติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ในน้ำลายของยุงอาจมีเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา ไข้ปวดข้อยุงลาย เป็นต้น
หลายคนรู้ว่าวิธีป้องกันไม่ให้เกิดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง คือการกำจัดแหล่งน้ำขังเพื่อไม่ให้ยุงวางไข่ แต่การเทน้ำทิ้งจากภาชนะเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะยุงลาย 1 ตัว ออกลูกได้ประมาณ 500 ตัว และไข่ก็สามารถอยู่ได้เป็นปีแม้ในที่ไม่มีน้ำ เราจึงต้องล้างและขัดภาชนะรองรับเพื่อกำจัดไข่ยุงลายด้วย ด้วยเหตุนี้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำสื่อเพื่อสร้างความตระหนักในการดูแลสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้ถูกหลัก และเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนในสังคมในเรื่องของการกำจัดยุงลายให้สิ้นซาก
ในปี 2562 กรมควบคุมโรค ได้คาดการณ์ว่าโรคไข้เลือดออกจะระบาดหนัก และอาจมีผู้ป่วยมากถึงแสนกว่าราย ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี และในช่วงเข้าสู่ฤดูฝน จึงเป็นช่วงที่ยุงลายเตรียมตัววางไข่เพื่อขยายพันธุ์อีกครั้ง ซึ่งในปีนี้โรคไข้เลือดออกที่พบส่วนใหญ่เป็นเชื้อไวรัสเดงกี่สายพันธุ์ที่ 2 ที่มีความรุนแรงมากที่สุดใน 4 สายพันธุ์ และหากผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกครั้งที่ 2 จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นหากพบผู้ที่มีไข้สูงลอยนาน 2 วัน ควรรีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน นอกจากนี้ มีมาตรการในการป้องกันคือ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ประกอบไปด้วย
1. เก็บบ้านให้สะอาด ไม่ให้มีมุมอับทึบ เป็นที่เกาะพักของยุง
2. เก็บขยะ เศษภาชนะ ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง
3. เก็บน้ำ ภาชนะที่ใส่น้ำต้องมีฝาปิดมิดชิด ป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่
การทำตามมาตรการดังกล่าว จะช่วยป้องกันได้ถึง 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย โดยในวันนี้ขอนำเสนอเทคนิคง่าย ๆ ในการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายมาฝากกันค่ะ
1. ภาชนะใส่น้ำ ควรปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิดเสมอ โอ่งดินเผาหรือโอ่งซีเมนต์ควรใช้มุ้งหรือตาข่ายไนล่อนหุ้มฝาโอ่งอีกชั้นก่อนปิด ภาชนะที่ปิดฝาไม่ได้อาจใส่ปลากินลูกน้ำ เช่น ปลาหางนกยูง ปลาสอด หรือใส่ทรายกำจัดลูกน้ำ 1 กรัม/น้ำ10 ลิตร
2. แจกันดอกไม้ ต้องเปลี่ยนน้ำทุก 7 วัน และอย่าลืมขัดภาชนะ เพราะตามขอบแจกัน ยุงก็สามารถวางไข่ได้
3. จานรองตู้กับข้าว ให้ใส่ทรายกำจัดลูกน้ำ หรือเกลือแกง 2 ช้อนชา หรือน้ำส้มสายชูชนิด 5 % จำนวน 1 ช้อนชาครึ่ง ต่อจานรองขาตู้ 1 ใบ
4. กระถางต้นไม้ ให้ใส่ทรายลงในจานรองกระถางต้นไม้ให้มีความลึก ¾ ส่วน ของจาน เพื่อให้ทรายดูดซับน้ำเอาไว้
5. หมั่นสังเกต ยางรถยนต์เก่าและเศษวัสดุต่าง ๆ ที่มีน้ำขัง ควรปิด เก็บ หรือคว่ำภาชนะใส่น้ำที่ไม่ได้ใช้ทุกชนิด
นอกจากการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย การป้องกันตัวไม่ให้ถูกยุงกัดสามารถทำได้ด้วยวิธีดังนี้
1. นอนในมุ้ง (แม้จะเป็นเวลากลางวัน) หรือห้องที่มีมุ้งลวด
2. หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่เป็นมุมมืด อับลม
3. ไม่สวมเสื้อผ้ารัดรูป เพราะปากยุงสามารถเจาะผ่านเนื้อผ้าได้ การสวมเสื้อผ้า หลวม ๆ แขนยาว ขายาว จะช่วยลดโอกาสที่ปากยุงจะมาสัมผัสผิวหนัง และเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้าสีเข้ม เพราะจะดึงดูดยุงมากกว่าสีอ่อน
4. ทายากันยุงในกรณีที่มีความจำเป็น อ่านวิธีใช้และคำเตือนบนฉลาก และต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะยาทากันยุงบางชนิดห้ามใช้กับเด็กอายุน้อยกว่า 4 ปี
5. อาบน้ำและรักษาร่างกายให้สะอาด ผู้ที่มีกลิ่นตัวแรงหรือมีอุณหภูมิของร่างกายสูงกว่าผู้อื่นจะดึงดูดยุงให้มากัดมากกว่า
หลายคนมักคิดว่า พอมืดยุงจะเยอะ แต่ที่จริงแล้ว ยุงลายจะออกกัดดูดเลือดในเวลากลางวัน ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเย็น และถ้าในห้องมีแสงไฟสว่างเพียงพอ ยุงลายอาจกัดดูดเลือดถึงพลบค่ำเลยทีเดียว ดังนั้นการป้องกันในช่วงเวลากลางวันก็เป็นสิ่งที่สำคัญ
เนื่องในวันที่ 15 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันไข้เลือดออกอาเซียน (ASEAN Dengue Day) เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนในอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ตระหนักถึงการป้องกันโรคและร่วมกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง สสส.และกรมควบคุมโรค จึงได้เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชนทั่วไปผ่านโครงการ “เอาจริง ให้ยุงสิ้นลาย” เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้แก่ประชาชนและตระหนักถึงอันตรายของยุงลาย รวมถึงวิธีการกำจัดยุงลายที่ถูกต้องด้วย โดยใช้ข้อมูลวิชาการที่เกี่ยวกับยุงลาย เช่น ยุงลายมีการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว การเทน้ำทิ้งอย่างเดียวไม่พอ ต้องล้างและขัดภาชนะเพื่อกำจัดไข่ยุงลายด้วย เป็นต้น
ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/49115-ปราบยุงให้สิ้นลาย.html
มุมธรรมะ
สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี อ่านว่า สุขา สังฆัสสะ สามัคคี
แปลว่า ความสามัคคีของหมู่คณะ นำมาซึ่งความสำเร็จ
ที่มา : https://news.ch7.com/proverb/21พุทธศาสนสุภาษิต.html
มุมสุขภาพ
อย่าให้อารมณ์ อยู่เหนืออาหาร
“ใครจะรู้เท่าตัวเรา” เคยถามตัวเองไหมว่า อาหารที่เรากินอยู่ทุกวันนี้เรากินเพราะหิว หรือกินเพราะอยาก ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เจอร้านสวย ๆ เก๋ ๆ อาหารหน้าตาหน้ากินไปเสียหมด สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ผิดอะไร หากเราจะกินสักครั้ง แต่ถ้ากินบ่อย กินประจำจนชิน ก็คงนึกภาพไม่ออกว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้าตัวเราจะอ้วนขนาดไหน หรือมีโรคอะไรตามมา และหากเราไม่เริ่มจัดการกับอารมณ์อยากของตัวเองตั้งแต่วันนี้ ร่างกายในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้นำองค์ความรู้หลัก 3 อ. คือ อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ มาใช้กับคนทุกช่วงวัย เพื่อให้คนไทยกินอาหารที่มีประโยชน์ เพิ่มการออกกำลังกาย และใช้อารมณ์ในการเอาชนะตนเองเพื่อสุขภาพที่ดี โดยกิจกรรมล่าสุดที่ผ่านมา คือ การต่อยอดจากแคมเปญลดพุงลดโรค ในภารกิจ “ท้า คุณ เปลี่ยน” ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ มาดูแลผู้ร่วมแข่งขัน ทั้งการกินอาหาร การออกกำลังกาย และการเรียนรู้ปรับใช้ในอารมณ์ของตนเองให้ถูกต้องเหมาะสมกับการมีสุขภาพที่ดี
ด้านอาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. และที่ปรึกษาด้านโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข หนึ่งในโค้ชผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร บอกว่า นอกจากการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง และการออกกำลังกายที่เพียงพอแล้ว “อารมณ์” ก็เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการขับเคลื่อนให้เรามีกำลังใจในการออกกำลังกาย ลดความอยากอาหารที่นอกเหนือจากมื้อหลัก และเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสุขภาพดี แค่ลองเปลี่ยนมุมมองความคิด เช่น “วันนี้ฝนตกไม่มีอารมณ์ไปออกกำลังกาย กับวันนี้ฝนตกออกกำลังกายที่บ้านก็ได้ไม่เป็นไร” หรือ “กินข้าวอิ่มแล้ว ก็คือรู้ว่าอิ่ม ไม่ใช่อยากกินไปหมด เห็นอะไรก็อยากไปหมด” การตัดสินใจนั้นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับอารมณ์เป็นตัวตั้ง หากทุกคนมีความตั้งใจที่จะลดน้ำหนัก ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองต้องรู้จักวิธีการปรับอารมณ์ตนเองด้วย ต้องมีความตั้งใจและมุ่งมั่น จริงจัง อดทน พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้ ที่สำคัญเวลาที่รู้สึกเครียดต้องหาทางผ่อนคลาย อย่าหาทางออกด้วยการกินเพราะยิ่งทำเช่นนี้ก็ยิ่งเพิ่มรอบพุงให้กับเราได้ง่ายมากขึ้น
อาจารย์สง่า อธิบายต่อว่า มีหลายคนพยายามหาตัวช่วยมาลดน้ำหนัก โดยมองข้ามเรื่องเล็ก ๆ ไป นั่นคือ กำลังใจจากตัวเราและคนรอบข้าง ทั้ง พ่อ แม่ หรือลูก สิ่งเหล่านี้เป็นพลังงานบวกที่จะช่วยให้เราลดอารมณ์ ขี้เกียจ ลดการหาข้ออ้างในการไม่อยากออกกำลังกายลงได้ หรืออีกหนึ่งมุมมองคือ การมีสุขภาพที่ดีนั้น เมื่อเราแก่ตัวไปจะไม่ตกเป็นภาระของลูกหลาน ต้องแข็งแรงเพื่อดูแลลูกหลาน และต้องเปลี่ยนชีวิตที่เหลือไม่ให้เป็นวันที่สูญเปล่า การซื่อสัตย์กับตัวเองเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เรามีเป้าหมายชัดเจน เพราะการมีสุขภาพที่ดีต้องไม่ฝืน ไม่กดดันตัวเอง ทำเท่าที่เราทำไหว เริ่มจากเปลี่ยนจากเดินเป็นเดินเร็ว จากเดินเร็วเป็นการวิ่ง เท่านี้ก็ทำให้เรามีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นแล้ว
ลองเช็คสักนิด ทำไมเราถึงอ้วน
1. มีพฤติกรรมชอบรับประทานอาหาร จำพวก แป้ง ไขมัน น้ำตาล ของหวาน
2. พันธุกรรม หากพ่อแม่อ้วน ลูกก็จะมีโอกาสอ้วน
3. เกิดจากความผิดปกติของการทำงานจากต่อมไร้ท่อ ทำให้ต่อมไร้ท่อหลั่งฮอร์โมนบางชนิดผิดไป
4. ความผิดปกติของสมองส่วนไฮโปทามัส ที่ทำให้การควบคุมการกินอาหารผิดปกติ
5. การกินยาบางชนิดที่ทำให้เกิดการอยากอาหารมากขึ้น
6. ความเครียด ที่ทำให้รู้สึกอยากรับประทานอาหารบ่อยขึ้น ทั้งของหวาน หรือขนมต่าง ๆ
หากมีพฤตกรรมเหล่านี้ ก็จะทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้มากขึ้น ดังนั้น สิ่งที่จะช่วยได้มีดังนี้
1. ลดอาหารขยะ (Junk Food) เช่น น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยว อาหารทอด และอาหารจานด่วน เพราะเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อย แต่มีแคลอรี่สูง ควรรับประทานอาหารประเภทผัก ธัญพืช และผลไม้แทน
2. รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้า เป็นมื้อสำคัญที่จะสร้างพลังงานและสารอาหารให้เรามีแรงทำงานในแต่ละวัน และที่สำคัญจะช่วยลดการกินจุบจิบของขนมที่มีทั้งโซเดียม ไขมัน และน้ำตาลสูง ลงได้
3. ไม่ควรรับประทานอาหารไปพร้อมกับการทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น ดูโทรทัศน์ คุยโทรศัพท์ หรืออ่านหนังสือ เพราะจะทำให้เรากินมากกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว
4. เคี้ยวอาหารให้ช้า อย่างน้อยให้ได้ 10 ครั้ง ต่อหนึ่งคำ เพราะถ้าเคี้ยวเร็ว เราจะกินได้มากขึ้น
5. งดขนมหวาน เครื่องดื่มน้ำอัดลมตอนกลางคืน เพราะร่างกายจะไม่เผาผลาญทำให้เกิดไขมันส่วนเกินได้
6. รับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ เพื่อสร้างกากใยช่วยในการขับถ่าย เพิ่มวิตามิน เกลือแร่ สารอาหารที่สำคัญให้แก่ร่างกาย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้
7. เลือกอาหารที่มาจากธรรมชาติ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เช่น ข้าวไม่ขัดสี ข้าวกล้อง ข้าวสาลี ถั่ว
8. ดื่มน้ำผักผลไม้ที่คั้นสด งดเครื่องดื่มแอลกอฮออล์
9. ดื่มน้ำเปล่าและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะจะช่วยให้มีน้ำหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายได้
การมีสุขภาพที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องมีความรู้ความเข้าใจกับการปฎิบัติตัวให้ถูกต้อง หากเรารู้วิธีการที่ถูกต้องก็จะสามารถสร้างวินัยให้กับตนเองได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์เป็นทุกอย่างของการกระทำ แต่จงเปลี่ยนอารมณ์ให้เป็นความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น
ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/49282-อย่าให้อารมณ์อยู่เหนืออาหาร.html
เกมส์ลับสมอง ประลองปัญญา
เกมส์ : เติมคำสร้างคำ
กติกา : ให้นักเรียนเติมคำลงในช่องว่างที่เว้นไว้ เพื่อให้เกิดคำประสมที่มีความหมายตามพจนานุกรม โดยแต่ละข้อจะใช้คำเดียวกันทั้งกลุ่ม ดังตัวอย่าง ‘อก’ ลงในช่องว่าง จะได้ ‘ เอกภพ, อกตัญญู, กระบอก’ ส่วนข้ออื่นๆ จะเป็นไปในลักษณะเดียวกัน แต่ละข้อต้องเติมคำอะไร ลองคิดดูนะคะ
1. เ อ ก ภ พ (ตัวอย่าง) 2. รู ป _ _ _ ณ์
อ ก ตั ญ ญู วิ ช า _ _ _
ก ร ะ บ อ ก _ _ _ ะ เ ก ด
3. อ ดี _ _ า ล 4. โ ข ย ก _ _ _ ก
อ ก แ _ _ _ _ _ อ ะ ข ย ะ
_ _ ต ะ ลึ ง ลู ก _ _ _
5. ต้ น _ _ ง 6. ฝ่ า ย _ _ _ อ
ต า พ _ _ พิ ม _ _ _
_ _ ง ก า ย _ _ _ า ธิ ก า ร
7. โ ฮ ก _ _ ก 8. พ า _ _ ะ
_ _ เ ร็ ม ห ว ง แ _ _
เ ฮ _ _ _ _ ว ก หู
ปีที่ 18 ฉบับที่ 3 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2562
ทักทายกันหน่อย
สวัสดีค่ะท่านผู้ปกครองและนักเรียนทุกคน แย้มสานสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่สามแล้ว ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ เช่นเคยค่ะแย้มสานฯฉบับนี้มีสาระน่ารู้ดีๆ ที่น่าสนใจมาฝากกันเหมือนเดิมค่ะ
********************************************************************************************************
กิจกรรมประจำเดือนสิงหาคม
8 สิงหาคม 2562 กิจกรรมวันแม่แห่งชาติ
กิจกรรมบรรยายธรรมครั้งที่ 1
กิจกรรมธรรมบันเทิงใจ
9 -11 สิงหาคม 2562 กิจกรรมค่ายพักแรมลูกเสือ-เนตรนารีสามัญ
16 สิงหาคม 2562 กิจกรรมวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
18 สิงหาคม 2562 ประกาศผลสอบ
19 – 23 สิงหาคม 2562 กิจกรรมประกวดมารยาทไทย ครั้งที่ 1
กิจกรรมสัปดาห์คณิตศาสตร์
20 สิงหาคม 2562 กิจกรรมทัศนศึกษา อนุบาล 3
24 สิงหาคม 2562 กิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษ อนุบาล 3
ผู้ปกครองสามารถชมภาพกิจกรรมเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ของโรงเรียน WWW.YAMVITAYACARN.COM
สำนวนไทยน่ารู้
กบในกะลาครอบ หมายถึง ผู้มีความรู้และประสบการณ์น้อย แต่สำคัญตนว่ามีความรู้มาก
ที่มา : https://www.เกร็ดความรู้.net/สำนวนไทย-สุภาษิตและคำพังเพยน่ารู้/
สาระน่ารู้
7 พัฒนาการมหัศจรรย์จากการอ่าน
การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เป็นการอ่านที่มีประสิทธิภาพ เด็กจะค่อย ๆ เรียนรู้ เลียนแบบและสะสมความรู้เสริมสร้างพัฒนาการไปทีละเล็กละน้อย และยึดเป็นแนวทางการปฏิบัติเมื่อถึงวัยที่เติบโตขึ้น
ความสำคัญของการอ่านมีผลต่อการพัฒนา “ทรัพยากรณ์มนุษย์” โดยเด็กที่กำลังจะเติบโตเป็นกำลังของชาตินั้น อยู่บนความคาดหวังของผู้ปกครอง นั่นหมายถึงการเป็นคนดีของสังคม และสามารถอ่านออกเขียนได้ ซึ่ง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ให้ความสำคัญในเรื่องของการอ่าน เพราะการอ่านนั้นเป็นการปูพื้นฐานการเป็นพลเมืองที่ดี เพิ่มขีดความสามารถให้คนไทย ซึ่งเป็นข้อสำคัญของการกำหนดทิศทางของอนาคตได้
ทำไมต้องอ่านหนังสือ
ตั้งแต่ช่วงเด็กปฐมวัย จะมีอัตราการเจริญเติบโตของสมองสูงสุด หากเด็กได้รับการกระตุ้นให้ก้านสมองแตกยอด จะเกิดการพัฒนาอย่างเหมาะสมตามวัย เสริมสร้างสมรรถนะที่เกิดขึ้นเองทั้งทางธรรมชาติ และการเรียนรู้ผ่านการฟัง และการอ่านจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการพัฒนาสมองมนุษย์ การอ่านไม่ใช่แค่การรอให้เด็กโตพอที่จะอ่านหนังสือได้เท่านั้น แท้จริงแล้วสำหรับการอ่าน พ่อแม่สามารถอ่านหนังสือให้ลูกฟังได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างทั้ง 7 พัฒนาการ ดังนี้
1. ด้านภาษา เด็กจะสะสมคลังคำไว้ในสมอง เพื่อให้เลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม
2. ด้านการคิดและสติปัญญา หนังสือภาพทำให้จำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และช่วยจัดระบบความคิด
3. ด้านอารมณ์ เด็กเรียนรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร ทำให้ฝึกควบคุมอารมณ์ ปฎิบัติตนตามกฏกติกา
4. ด้านสังคม เสริมทักษะการแก้ปัญหาที่เห็นคุณค่าความแตกต่างระหว่างบุคคล เคารพการอยู่ร่วมกัน
5. ด้านจริยธรรม หนังสือภาพแสดงตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ทำให้เด็กไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ไม่ทำร้ายตนเองและผู้อื่น รู้ว่าอะไรถูกผิด
6. ด้านจินตนาการและการสร้างสรรค์ ภาพและคำจากหนังสือช่วยสร้างจินตนาการและต่อยอดความคิดสร้างสรรค์
7. ด้านการเคลื่อนไหวและสุขภาวะทางกาย หนังสือภาพช่วยออกแบบการเคลื่อนไหว สร้างการรับรู้ให้เด็กทำตามอย่างสนุกสนาน
ทั้งนี้ พ่อแม่สามารถสร้างลูกให้เป็นนักอ่านได้ โดยเริ่มจากการพูดคุยกับลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และส่งความอบอุ่นผ่านการสัมผัสของแม่ และอ่านหนังสือให้ลูกฟังทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 เล่ม อาจเป็นเรื่องซ้ำ ๆ หรือเรื่องสั้น ๆ ที่สร้างความสุข และมีคำที่ไพเราะ เท่านี้ลูกน้อยจะได้รับพัฒนาการที่ดีตั้งแต่อยู่ในครรภ์
แนวปฏิบัติของพ่อแม่ ที่ช่วยเป็นแบบอย่างให้ลูก มีดังนี้
1. เลือกหนังสือที่มีเนื้อหาสร้างสรรค์ เหมาะกับวัยของเด็ก
2. อุ้ม กอด นั่งตัก แล้วค่อย ๆ อ่านหนังสือให้ลูกฟัง
3. อ่านหนังสือให้เด็ก ใส่ใจกับทุกคำถามของเด็ก
4. ชวนลูกอ่านหนังสือ เล่านิทาน พูดคุยกัน
5. สร้างสรรค์กิจกรรมหลังการอ่านเพื่อกระตุ้นให้มีการเรียนรู้ ได้ยินสำเนียงที่อ่อนโยนของพ่อแม่
6. สร้างวินัยในการอ่าน สร้างความเคยชิน แต่ไม่ควรยัดเยียดจนเกิดความอึดอัด
7. ติดตามเรื่องราวข่าวสารการอบรมให้ความรู้ เรื่องการใช้หนังสือเพื่อการพัฒนาของเด็ก
การอ่านนอกจากจะเสริมสร้างพัฒนาการของลูกแล้ว ยังช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันง่ายขึ้น ส่งต่อไปถึงในอนาคตของเด็ก สร้างอาชีพ สร้างรายได้ มีประสบการณ์ชีวิต และทันยุคสมัย ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/49687-7พัฒนาการมหัศจรรย์จากการอ่าน.html
มุมธรรมะ
นาภาสมาเน ชานนฺติ พาเลหิ ปณฺฑิตํ อ่านว่า นาภาสะมาเน ชานันติ พาเลหิ ปันดิตัง
แปลว่า คนเราเมื่อยังไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้ว่าโง่หรือฉลาด
ที่มา : https://news.ch7.com/proverb/21/พุทธศาสนสุภาษิต.html
มุมสุขภาพ
จะเป็นอย่างไร เมื่อเรา “ติดเค็ม”
อาหารรสเค็มมีอยู่รอบตัวคนไทย จะเห็นได้ว่าบรรดาอาหารต่าง ๆ โดยเฉพาะอาหารปรุงสำเร็จที่เราสั่งมารับประทานแทบทุกชนิดล้วนมีส่วนประกอบของโซเดียมและเครื่องปรุงแต่ละอย่างก็มีสัดส่วนของโซเดียมอยู่ไม่น้อย ดังนั้น เมื่ออาหารที่มีโซเดียมอยู่แล้วมาผนวกรวมเข้ากับนิสัย “ติดการปรุง” แบบหนักมือ จึงทำให้หลาย ๆ คนเผลอบริโภคโซเดียมในปริมาณที่เกินพอดี และเพราะเหตุนี้ เมื่อเกิดการสะสมก็ส่งผลร้าย ต่อร่างกายจะเป็นอย่างไรเมื่อเรา “ติดเค็ม” วันนี้ทีมเว็บไซต์ สสส. มีประสบการณ์จริงจากคนที่ติดเค็มมาฝากกันค่ะ เขาเป็นดารานักแสดงที่หลายคนคุ้นเคยเป็นอย่างดีคือ คุณผัดไทย หรือดีใจ ดีดีดี ที่ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ในการประชุมหารือการทำงานร่วมกับสื่อมวลชน เรื่อง ‘แนวทางลดพฤติกรรมติดเค็มของคนไทย’ ที่จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ องค์การอนามัยโลก (ประเทศไทย) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และเครือข่ายลดการบริโภคเค็ม
‘คุณผัดไทย’ เล่าจุดเริ่มต้นของการกินเค็มว่า เกิดขึ้นตั้งแต่เด็กเพราะเติบโตมาในร้านขายของชำ ทำให้กินขนมจุกจิกได้ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (ซองเล็ก) ที่แกะกินแบบไม่ใส่น้ำร้อนและกินมากสุดกว่า 20 ซองต่อวัน ขณะที่คนสมัยก่อนไม่ได้ใส่ใจเรื่องสุขภาพจึงไม่ได้ตักเตือนลูกหลาน และใช้ชีวิตกับการกินเค็มมาจนถึงตอนโต เกิดเป็นนิสัยติดเค็มที่อาหารทุกอย่างต้องปรุงรสเค็ม เช่น โจ๊กต้องเติมซีอิ๊วขาวทุกครั้งมากกว่า 1 ช้อนโต๊ะ เป็นต้น
ผลของความเคยชินที่คิดเพียงว่ากินแล้วอร่อยเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อช่วงอายุวัย 27 ปี ที่เกิดภาวะไตอักเสบเฉียบพลันจนต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ยังไม่ได้ทำให้ตระหนักว่าต้องเปลี่ยนแปลง และคิดเพียงว่าอาจเป็นเพราะอายุยังน้อย จึงละเลยการเตือนของร่างกาย ซึ่งตนก็ยังคงกิน เที่ยว และดื่มอย่างปกติ จนสุดท้ายต้องเผชิญหน้ากับ ‘โรคไต’ ที่กลายเป็นโรคประจำตัว โดยมีค่าไตอยู่ในระดับ 3 ซึ่งในปัจจุบันคุณภาพของไตอยู่ที่ 16% และหากต่ำกว่า 10% จะต้องฟอกไตหรือเปลี่ยนไต ทำให้ต้องกลับมาระมัดระวังเรื่องของอาหารการกินให้มากขึ้น และมีวินัยเพื่อป้องกันไม่ให้ค่าไตขึ้นไปถึงระดับ 4 หรือระดับ 5
“การเปลี่ยนแปลงและควบคุมการกินจะช่วยชะลอการฟอกไตไปได้ถึง 14 ปี” คุณผัดไทยเล่าว่า การลดการกินเค็ม ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย แม้ว่าในช่วงระยะแรกจะรู้สึกไม่ชิน แต่พอทำอย่างต่อเนื่องร่างกายจะปรับตัวได้ หากใครที่กำลังเผชิญอยู่กับโรคไตจะรู้ดีว่าการพยายามปรับพฤติกรรม แม้ว่าจะยาก แต่ก็คุ้มที่จะทำมากกว่าการต้องไปฟอกไต เพราะความอร่อยเป็นเพียงความสุขชั่วขณะ หากเรากินอย่างพอดีจะไม่เกิดโทษ แต่หากกินมากเกินไปสิ่งที่ตามมาจะส่งผลต่อร่างกาย ดังนั้น จึงควรปรับพฤติกรรมตั้งแต่วันนี้ก่อนจะสายเกินไป
จะทำอย่างไรถึงจะหยุดติดเค็มได้ เรื่องนี้ ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม ได้แนะนำ 6 วิธีห่างไกลจากการติดเค็ม ได้แก่
1. ควรชิมก่อนปรุงทุกครั้งว่ารสชาตินั้นพอเหมาะแล้วหรือไม่ หากเพียงพอแล้วก็ไม่ควรเติมเพิ่ม เพราะอาหารส่วนใหญ่ที่ปรุงมานั้นก็มีรสชาติความเค็มหรือมีโซเดียมสูงอยู่แล้ว พอไม่ชิมแล้วปรุงเพิ่มเข้าไปก็ยิ่งทำให้ได้รับโซเดียมเพิ่มมากขึ้น
2. ลดการบริโภคอาหารแปรรูป หันมาทำอาหารรับประทานเองวันละมื้อ เน้นซื้อของสดมาทำกับข้าวเองก็จะช่วยลดปริมาณโซเดียมลงไปได้ ที่สำคัญคือ ต้องปรุงด้วยรสชาติที่อ่อนกำลังดีด้วย
3. ลดการใช้น้ำจิ้ม เพราะน้ำจิ้มถือเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้คนไทยได้รับโซเดียมสูง และอีกหนึ่งนิสัยเสียของคนไทยคือ ชอบราดน้ำจิ้มเยอะๆ หรือจิ้มน้ำจิ้มมาก ๆ ซึ่งตัวอาหารบางอย่างก็มีโซเดียมอยู่แล้ว
4. ลดการกินน้ำซุป เน้นรับประทานเฉพาะเส้นและเครื่องเคียง สามารถช่วยลดปริมาณโซเดียมที่จะได้รับในแต่ละวันลงไปได้ ซึ่งน้ำซุปมีการเติมซอสปรุงรส หรือผงปรุงรสลงไป ซึ่งถือว่ามีโซเดียมปริมาณสูงมาก
5. ลดการกินน้ำปรุง ก็จะช่วยลดโซเดียมลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะอาหารประเภทยำ ส้มตำ ถือเป็นอาหารจานโปรดของคนไทยจำนวนมาก ซึ่งน้ำยำหรือน้ำส้มตำมีการเติมผงปรุงรสที่มีโซเดียมสูง
6. ลดความถี่ในการกินอาหารที่มีส่วนประกอบของไตปลา ปลาร้า พริกแกง และกะปิ อันเป็นเครื่องปรุงที่คนไทยชอบกิน ซึ่งวิธีในการทำอาหารทั้ง 4 อย่าง ทำให้มีโซเดียมผสมอยู่แล้ว และหากมีการปรุงรสเพิ่มเข้าไปอีก ก็ยิ่งได้โซเดียมจากสารปรุงรสเข้าไป
การลดเค็มเพื่อสุขภาพเป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เช่น สหราชอาณาจักร เป็นประเทศให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างเข้มข้น เช่น ติดตามควบคุมกำกับการรณรงค์ การสร้างความร่วมมือกับอุตสาหกรรมในการปรับลดสูตรอาหาร ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยการบริโภคโซเดียมของประชากรลดลงกว่า 15% ขณะเดียวกันประเทศไทยได้มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องโดยล่าสุด สสส. ได้จัดแคมเปญ Less Spoon : ช้อน ปรุง ลด ร่วมกับทาง CJ WORX จัดทำสื่อนำเสนอเพื่อให้คนไทยตระหนักในการปรุงโซเดียม ทั้งเกลือ และน้ำปลา โดยจัดทำเป็นช้อนที่มีรูตรงกลาง แต่จะตักได้แค่เฉพาะปลายช้อน ซึ่งตรงตามปริมาณที่ควรบริโภค ทำให้เกิดภาพจำของปริมาณโซเดียมในช้อนของผู้บริโภค และเป็นแคมเปญที่ได้รับความสนใจอย่างมาก
พฤติกรรมการกินของแต่ละบุคคลมีส่วนสัมพันธ์กับสุขภาพอย่างยิ่ง การที่คนเราจะมีสุขภาพแข็งแรง หรือเจ็บป่วยบ่อย ส่วนใหญ่มีผลสืบเนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคของบุคคลนั้น ๆ การกินอย่างพอดี จึงเป็นคำตอบของสุขภาพที่ดี
ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/48570-จะเป็นอย่างไรเมื่อเราติดเค็ม.html
เกมส์ลับสมอง ประลองปัญญา
เกมส์ จตุรัสเลข 1-9
ในตารางตัวเลขนี้มีสี่เหลี่ยมจัตุรัสตัวเลขขนาด 3 × 3 จำนวน ซ่อนอยู่ 9 ตาราง ตารางเหล่านี้ประกอบด้วยตัวเลข 1-9 โดยตัวเลขที่ปรากฏในตารางจะไม่ซ้ำกันเลย
ตัวอย่าง 1 5 4 3
8 3 7 1
6 9 2 4
4 6 5 8
หมายเหตุ ตารางบางตารางอาจจะซ้อนกันอยู่
9 5 6 8 5 1 2 5 3 6 5 7
8 2 1 4 6 8 4 2 6 1 4 3
4 7 3 2 7 3 7 1 8 8 2 9
8 5 6 1 5 7 4 6 7 4 3 1
1 6 5 7 4 6 5 3 1 6 5 2
2 4 3 8 2 3 8 2 9 7 6 7
7 9 2 1 5 7 1 5 4 3 1 4
8 6 1 6 2 8 4 2 2 5 8 2
3 4 7 4 9 3 8 9 3 5 6 3
7 4 1 7 3 6 5 1 6 1 4 7
8 5 2 8 5 7 2 4 8 2 5 8
9 6 3 4 6 1 4 3 7 3 6 9
.jpg)
ปีที่ 18 ฉบับที่ 4 เดือน กันยายน พ.ศ.2562
ทักทายกันหน่อย
สวัสดีค่ะท่านผู้ปกครองและนักเรียนทุกคน แย้มสานสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับสุดท้ายของภาคเรียนนี้แล้วนะคะ ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ เช่นเคยค่ะ แย้มสานฯฉบับนี้มีสาระน่ารู้ดีๆ ที่น่าสนใจมาฝากกันเหมือนเดิมค่ะ
********************************************************************************************************
ข่าววิชาการ
ทางโรงเรียนได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันทางวิชาการต่างๆ ดังนี้
1. ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันการแสดงวิทยาศาสตร์ ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ผลการแข่งขันพลาดรางวัลการแข่งขัน
2. ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันทักษะวิชาการในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ณ โรงเรียนปากท่อพิทยาคม อ.ปากท่อ จ. ราชบุรี เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ผลการแข่งขันมีดังนี้
2.1 ได้รับรางวัลชนะเลิศ จากการตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ ได้แก่
1. ด.ญ. พราวพิชชา ไชยภูมิสกุล ป.6/1
2. ด.ญ. น้ำเพชร สาตร์เวช ป.6/1
2.2 ได้รับรางวัลรองชนะเลิศจากโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ถ่านอัดแท่งจากไม้ไอศกรีม ได้แก่
1. ด.ช. ภควรรษ กลิ่นหอม ป.4/1
2. ด.ช. ภูธิษ สุธาพจน์ ป.4/2
3. ด.ญ. ระพีพรรณ เพียงพานิช ป.5/2
3. ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันเศรษฐศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ผลการแข่งขัน พลาดรางวัล
4. ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันวิทยาศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ผลการแข่งขัน พลาดรางวัล
กิจกรรมประจำเดือนกันยายน-ตุลาคม
7 กันยายน 2562 กิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษอนุบาล 1
18-19 กันยายน 2562 กิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์อนุบาล 1-3
24 กันยายน 2562 กิจกรรมแข่งขันต่อไม้บล็อค
26-30 กันยายน 2562 สอบปลายภาคเรียน 1 อนุบาล 2-3
1-2 ตุลาคม 2562 สอบปลายภาคเรียน 1 ประถม 1-6
1 ตุลาคม 2562 กิจกรรมทัศนศึกษาอนุบาล 1
2 ตุลาคม 2562 กิจกรรมทัศนศึกษาอนุบาล 2
3 ตุลาคม 2562 กิจกรรมค่ายรักการอ่าน ป.1-2
4 ตุลาคม 2562 กิจกรรมค่ายคณิตศาสตร์ ป.4
7 ตุลาคม 2562 กิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษ ป.3
8 ตุลาคม 2562 กิจกรรมค่ายสิ่งแวดล้อม ป.2
9 ตุลาคม 2562 กิจกรรมค่ายคอมพิวเตอร์ ระดับ ป.4-5 จำนวน 40คน
10-11 ตุลาคม 2562 กิจกรรมอยู่ค่ายพักแรมลูกเสือ-เนตรนารี ป.3
18 ตุลาคม 2562 ประกาศผลสอบปลายภาคเรียน 1 อ. – ป.6
ผู้ปกครองสามารถชมภาพกิจกรรมเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ของโรงเรียน WWW.YAMVITAYACARN.COM
สำนวนไทยน่ารู้
กรวดน้ำคว่ำขัน หมายความว่า การตัดขาดไม่ขอเกี่ยวข้องด้วย เลิกไม่คบหาสมาคมกันต่อไป
ที่มา : https://www.wordyguru.com/a/สำนวนไทย
สาระน่ารู้
ปลา อาหารป้องกันโรคหัวใจ
ทั่วโลกมีปลาประมาณ 2 หมื่นกว่าชนิด และปลาเป็นสัตว์ที่มีมากที่สุดในบรรดาสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังทั้งหลาย ปลามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าในมหาสมุทร ทะเล แม่น้ำ ลำคลอง ธารน้ำ หนอง หรือบึง ถ้าจะพูดรวบรัดเอาก็คงพูดได้ว่า มีน้ำที่ไหนก็มีปลาที่นั่น
ปลามีขนาด รูปร่าง สัณฐานที่แตกต่างกันมากมาย เหตุที่ปลามีจำนวนมากมายเพราะความสามารถวางไข่ของปลานั่นเอง คือ ปลาตัวหนึ่งมีความสามารถในการวางไข่ในแต่ละครั้งตั้งแต่หลายแสนใบไปถึงหลายพันล้านใบ แต่เนื่องจากภัยจากสัตว์อื่นๆรอบตัว ไข่ปลาจะถูกทำลายไปครั้งละมากๆ จึงทำให้จำนวนที่รอดมามีอยู่เป็นจำนวนน้อย แม้ปลาจะมีมากมายหลายหมื่นชนิด แต่ถ้าแบ่งเป็นพวกแล้ว ก็แบ่งได้เป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ ปลาน้ำจืดและปลาน้ำเค็ม
เมื่อเทียบกับเนื้อวัว หมู และไก่แล้ว ปลาจะมีปริมาณโปรตีนที่สูงกว่าและมนุษย์สามารถดูดซึมได้ถึง 96% เนื้อปลามีส่วนประกอบทางเคมีใกล้เคียงกับเนื้อของมนุษย์มาก เนื้อปลามีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสมากกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น โดยเฉพาะในปลาทะเลจะมีไอโอดีน เนื้อปลายังมีวิตามิน A, B1 , B12 และ D อีกด้วย
ในอาหารจำพวกเนื้อ เนื้อปลาเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายที่สุด หลังจากปรุงแล้วจะสูญเสียน้ำไป 10-30% เมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่นแล้วจะน้อยกว่ามาก (ประมาณ 50%)ดังนั้น เนื้อปลาจึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารของผู้ป่วย คนชรา หรือเด็ก
โดยทั่วไปเนื้อสัตว์อื่นๆ จะมีไขมันสัตว์และโคเลสเตอรอลมาก ถ้ากินเนื้อสัตว์มากจะทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดได้ง่าย เช่น หลอดเลือดแข็งตัว โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น
ชาวเอสกิโมนั้น มีชีวิตอยู่ในแถบอากาศหนาวเย็นมีน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี ตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ชาวเอสกิโมกินปลาเป็นอาหารหลัก
ผลการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ พบว่า ชาวเอสกิโมเป็นชนชาติที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและเบาหวานน้อยที่สุด นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะผลจากการกินเนื้อปลานั่นเอง นอกจากนี้ยังมีรายงานจากจีนและญี่ปุ่นในทำนองเดียวกันนี้คือ ชาวประมงที่กินปลาเป็นประจำมาหลายชั่วอายุคนจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในอัตราต่ำ
ทำไมเนื้อปลาจึงแตกต่างจากไปจากเนื้อสัตว์อื่น การศึกษาวิจัยพบว่า เป็นผลเนื่องมาจากไขมันในสัตว์อื่นส่วนมากเป็นไขมันอิ่มตัว (Saturated fat) และกรดไขมัน (fatty acid) เป็นเหตุคือทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ดังนั้น การกินเนื้อสัตว์เป็นประจำจะทำให้เกิดโรคหัวใจโคโรนารีได้ง่าย แต่ในเนื้อปลามีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว (Unsaturated fat) หลายชนิดมากกว่า 80% กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวเหล่านี้สามารถลดโคเลสเตอรอลได้ ดังนั้น จึงไม่ทำให้เกิดโรคหัวใจโคโรนารี
ตั้งแต่โบราณกาล ปลาได้ถูกนำมาใช้เป็นอาหารและยา น้ำมันตับปลานั้นสกัดมาจากตับของปลา ในน้ำมันตับปลามีวิตามิน A และ D เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ในน้ำมันตับปลายังมีวิตามินB1, B2 และ B12 อีกด้วย ปลาบางชนิดสามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำอินซูลิน ซึ่งเป็นยาที่สำคัญในการรักษาโรคเบาหวาน
ข้อควรระวัง ในการกินเนื้อปลา พยาธิในปลาน้ำจืดมักพบอยู่เสมอ ดังนั้นในการปรุงจะต้องปรุงให้สุกก่อนจึงจะกินเสมอ
ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/49635-ปลา อาหารป้องกันโรคหัวใจ.html
มุมธรรมะ
กปฺปากปฺเปสุ กุสโล อ่านว่า กัปปากัปเปสุ กุสะโล
แปลว่า พึงเป็นผู้ฉลาดในสิ่งที่ควรและไม่ควร
ที่มา: https://news.ch7.com/proverb/21/พุทธศาสนสุภาษิต.html
มุมสุขภาพ
2 : 1 : 1 รหัสพิชิตโรค
ต้องยอมรับว่า เรื่องอาหารการกิน กลายเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว “วันนี้จะกินอะไรดี ” กลายเป็นคำถามที่มักจะถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง แทบจะทุกมื้ออาหารก็ว่าได้
ถ้าให้ทาย เช้านี้ คงจะเป็นข้าวเหนียวหมูปิ้งกลิ่นเย้ายวนใจ มื้อเที่ยงก็คงหนีไม่พ้นกะเพราหมูสับไข่ดาว ที่มีวิญญาณผักบวกกับไข่ดาวน้ำมันเยิ้มๆ มื้อเย็นก็คงเป็นข้าวขาหมูราดน้ำหวานๆ เนื้อหมูติดหนัง ฟินๆ เป็นแน่
แต่รู้หรือไม่ว่า อาหารเหล่านี้ มักแฝงมาด้วยโรคภัยต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อย่างโรค ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ เป็นต้น โดยในปี 2560 ประเทศไทย มีอัตราการเสียชีวิตที่เกิดจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังถึง 75% ของการเสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นปัจจัยสำคัญที่เกิดจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมประจำวัน
หากคุณไม่อยากให้กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมาทักทาย วันนี้ทีมเว็บไซต์ สสส. มีเคล็ดลับการเลือกบริโภคอาหาร ตามสูตร 2 : 1 : 1 มาฝากกันค่ะ
2 : 1 : 1 คืออะไร
2 : 1 : 1 เป็นการกำหนดปริมาณอาหารที่เหมาะสม โดยการแบ่งสัดส่วนของจาน (เส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 9 นิ้ว) ออกเป็น 4 ส่วน เท่าๆ กัน และแบ่งประเภทอาหารที่จะใส่
ลงไปในจานเป็นผัก 2 ส่วน ข้าวหรือแป้ง 1 ส่วน และเนื้อสัตว์ 1 ส่วน ผัก 2 ส่วน - ผักสด หรือผักสุกทุกชนิด โดยเลือกประเภทของผัก ให้หลากหลาย
ข้าว 1 ส่วน - ควรเลือกข้าวที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท และธัญพืช เช่น ลูกเดือย
เนื้อ 1 ส่วน - ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ไม่ติดหนัง ปลาหรือไข่ ถั่วเหลือง เต้าหู้ โปรตีนเกษตร
เมื่อรู้แล้วว่า สูตร 2 : 1 : 1 ได้แก่ ผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน และ เนื้อ 1 ส่วน แต่ถึงกระนั้น การเลือกวัตถุดิบและกรรมวิธีในการประกอบอาหารให้ได้ อาหาร 1 จาน ก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยมีเคล็ดลับการเลือก ดังนี้
1. เลือกประเภทของผักให้หลากหลาย เลือกผักที่ปลอดภัยและล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน
2. การปรุงอาหาร ควรเลือกวิธีการนึ่ง อบ ลวก ต้ม ตุ๋น พยายามลดหรือหลีกเลี่ยงการปรุงประกอบอาหารที่ใช้กะทิ หรือน้ำมัน นั่นคือ ไม่ผัด ไม่ทอด ไม่มัน
3. ควรลดการปรุงอาหารรสชาติจัด เพื่อเลี่ยงความหวาน มัน และเค็ม
4. ปริมาณที่ควรรับประทาน คือ หนึ่งมื้อ หนึ่งจาน หรือชาม
5. ควรรับประทานผลไม้เป็นอาหารว่าง 1-2 มื้อ ต่อวัน โดยเลือกผลไม้หวานน้อย
6. ควรดื่มนม โดยเป็นนมพร่องมันเนย หรือนมขาดมันเนย โยเกิร์ตพร่องมันเนย และขาดมันเนยรสธรรมชาติ หรือ นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมชนิดไม่ใส่น้ำตาล
7. ควรเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลาย
2 : 1 : 1 ทำได้ไม่ยาก
สาเหตุที่หลายคนเลือกกินอาหารจานด่วนอย่างที่กล่าวข้างต้นไปนั้น เหตุผลง่ายๆ ก็คือ สะดวกและรวดเร็ว ครั้นจะพิถีพิถัน ให้ตรงตามสูตรเป๊ะๆ ก็ยากอยู่พอสมควร แต่ความจริงแล้ว 2 : 1 : 1 ทำได้ไม่ยาก แถมยังเปลี่ยนให้อาหารจานเสี่ยงเป็นอาหารจานสร้างสุขภาพได้ง่ายๆ อีกด้วย
1. อาหารตามสั่ง เลือกเมนูที่มีผักเยอะๆ ใช้น้ำมันน้อยๆ เช่น สุกี้น้ำ แต่น้ำจิ้มน้อยๆ ราดหน้าก็เน้นคะน้า พวกผัดผักตอนจะกินให้ตักผักแบบไม่เอาน้ำที่มันๆ หรือจะเลือกเพิ่มผักในเมนูต่างๆ อย่างข้าวกะเพราขอใส่ผัก ถั่วฝักยาว แครอท ข้าวโพด หรือจะกินคู่กับแกงจืดเต้าหู้ผักกาดขาวก็ยังได้ เทคนิคเพิ่มเติมคือ เลี่ยงหมูสามชั้น เปลี่ยนไข่เจียว หรือไข่ดาวเป็นไข่ต้ม เลือกหมูชิ้นแทนหมูสับ
2. ก๋วยเตี๋ยว ปริมาณเส้นประมาณ 1 ทัพพี ลูกชิ้นไม่เกิน 5-6 ลูก หรือถ้าเป็นหมูสับก็ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ พูดง่ายๆ ว่าเส้นน้อยๆ เน้นผักบุ้ง ถั่วงอกเยอะๆ สำคัญตรงที่อย่าลืมบอกคนขายงดใส่น้ำมันกระเทียมเจียวด้วย ให้ดีไม่ต้องปรุงเพิ่ม เพื่อลดหวาน ลดเค็ม
3. ข้าวแกง ข้าวไม่เกิน 2-3 ทัพพี แล้วเลือกกับข้าวที่มีผักและปรุงโดยใช้น้ำมันน้อย หลีกเลี่ยงเมนูที่มีน้ำราด ประเภทข้นๆ หวานๆ เหนียวๆ หรือสั่งรายการนั้นโดย ไม่เอาน้ำราดและเน้นขอผักเพิ่มด้วยจ้า
4. ปรุงอาหารในบ้าน เลือกผักมาเป็นส่วนประกอบหลักในการทำอาหารเมนูต่างๆ หรือจัดเตรียมให้มีผักสด ผักต้ม เพิ่มบนโต๊ะอาหาร เน้นปรุงอาหารด้วยวิธีนึ่ง ยำ ลวก ต้ม ตุ๋น แทนเมนูทอด เมนูแกงกะทิ หรือเมนูที่ใช้น้ำมันมากๆ
5. อาหารจานเดียว ถ้าชอบข้าวขาหมูก็ลดข้าวลง เลือกเอาเนื้อล้วนไม่ติดมัน ราดน้ำน้อยๆ คะน้าเยอะๆ สำหรับข้าวมันไก่ก็ไม่เอาหนังและจะดีกว่าถ้าเปลี่ยนข้าวมันเป็นข้าวสวยธรรมดา
6. เครื่องดื่ม เครื่องดื่มหวานๆ ต้องค่อยๆ ปรับพฤติกรรม เริ่มจากขอหวานน้อย ใส่น้ำเชื่อมหรือน้ำตาลน้อยๆ รวมทั้งอาจจะเปลี่ยนครีมเทียมเป็นนมพร่องมันเนย นมขาดมันเนย นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมและต้องค่อยๆ ลดความถี่ต่อสัปดาห์ลง เช่น จากวันละ 1-2 แก้ว ปรับเป็นสัปดาห์ละ 1-2 แก้ว ซึ่งถ้าเป็นไปได้ สุดท้ายควรต้องดื่มแต่น้ำเปล่าให้ได้ วันละ 6-8 แก้ว จะดีที่สุด
7. ของว่าง เปลี่ยนจากขนมหวาน เบเกอรี่ ไอศกรีม เป็นผลไม้หวานน้อย
นอกจากรับประทานอาหารแล้ว การมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดี เชิญชวนให้ทุกคนหันมาดูแลสุขภาพ เริ่มที่อาหารการกิน โดยกินตามสูตร 2 : 1 : 1 และสูตร 6 : 6 : 1 ได้แก่ น้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา น้ำมันไม่เกิน 6 ช้อนชา และเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา เพียงเท่านี้ ก็สามารถทำให้ห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง แถมยังช่วยให้ลดพุง ลดโรค อีกด้วย
ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/49943-2:1:1 รหัสพิชิตโรค.html
เกมส์ลับสมอง ประลองปัญญา
กติกา : ให้นักเรียนอ่านความหมายของสำนวนไทยที่ให้ไปแล้วตอบให้ถูกต้อง
1. ผู้มีความรู้และประสบการณ์น้อย แต่สำคัญตนว่ามีความรู้มาก
..................................................……………………………
2. คนเนรคุณให้อาศัยพึ่งพิง แล้วยังก่อความเดือดร้อนให้อีก
..............................................................................................
3. ทำงานขึ้นมาสักอย่าง แล้วกลับทำลายในภายหลัง
..............................................................................................
4. แนะนำหรือบอกเป็นให้ผู้อื่นเห็นช่องทางทำผิด หรือเอาประโยชน์ไป
..............................................................................................
5. การได้ยินได้ฟังจากผู้อื่นหลายๆคน ก็ไม่เท่ากับพบเห็นด้วยตนเอง
..............................................................................................
.jpg)
ปีที่ 18 ฉบับที่ 5 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2562
ทักทายกันหน่อย
สวัสดีค่ะท่านผู้ปกครองและนักเรียนทุกคน แย้มสานสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับแรกของภาคเรียนที่ 2 ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ เช่นเคยค่ะ แย้มสานฯฉบับนี้มีสาระน่ารู้ดีๆ ที่น่าสนใจมาฝากกันเหมือนเดิมค่ะ ก่อนอื่นขอแนะนำคุณครูคนใหม่ของเราจำนวน 5 ท่าน มีดังนี้ค่ะ
1. นางสาวอชิรญา สังข์แก้ว ครูสอนภาษาไทย ป.3
2. นางสาวมาลินี กล่ำงิ้ว ครูสอนภาษาไทย ป.2
3. นางสาวศิริพร นาคงาม ครูพี่เลี้ยงห้องอนุบาล 3/2
4. นางสาวมาริษา ฟักเขียว ครูพี่เลี้ยงห้องเตรียมอนุบาล
5. นางสาวยุพาวรรณ เกิดทรัพย์ ครูพี่เลี้ยงห้องอนุบาล 3/1
ข่าววิชาการ
ทางโรงเรียนได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันทางวิชาการต่างๆ ดังนี้
1. เข้าร่วมการแข่งขันชิงแชมป์การคิดและการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ปีการศึกษา 2562 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2562 ผลการสอบมีดังนี้
1. เด็กชายณกรณ์ สฤกพฤกษ์ ได้รับรางวัลเหรียญทองแดง ระดับชั้น ป.1-2
2. เด็กชายรเมศ บำรุงเชาว์เกษม ได้รับรางวัลชมเชย ระดับชั้น ป.3-4
3. เด็กหญิงกิตญาดา ศรีสิทธิพร ได้รับรางวัลชมเชย ระดับชั้น ป.5-6
2. เข้าร่วมการแข่งขันศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับกลุ่มเครือข่าย ณ โรงเรียนเจี้ยไช้ เมื่อวันที่ 7-9 ตุลาคม พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา ผลการแข่งขันมีดังนี้
ที่
|
รายการแข่งขัน
|
อันดับ
|
เหรียญ
|
ชื่อ-นามสกุล
|
|
กล่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
|
|
|
|
1.
|
การแข่งขันคัดลายมือสื่อภาษาไทย ป.1-ป.3
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิง วิสาขา ปัจฉา
|
2.
|
การแข่งขันคัดลายมือสื่อภาษาไทย ป.4-ป.6
|
6
|
เงิน
|
1. เด็กหญิงพัชรดา วังบุญคง
|
3.
|
การแข่งขันเรียงร้อยถ้อยความ (การเขียนเรื่องจากภาพ) ป.1-ป.3
|
2
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงวรดา ดอนเดือนไพร
|
4.
|
การแข่งขันเรียงร้อยถ้อยความ (การเขียนเรียงความ) ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงณัฏฐณิชา จังพานิช
|
5.
|
การแข่งขันกวีเยาวชนคนรุ่นใหม่ กลอนสี่ (๔ บท) ป.4-ป.6
|
2
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงปุญญาภา โสดจำปา
2. เด็กหญิงเปรมิกา นำเจริญลาภ
|
|
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
|
|
|
|
6.
|
การแข่งขันอัจฉริยภาพทางคณิตศาสตร์ ป.1-ป.3
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กชายรเมศ บำรุงเชาว์เกษม
|
7.
|
การแข่งขันอัจฉริยภาพทางคณิตศาสตร์ ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กชายณัฐกิตติ์ โพธิ์พุทธ-
รักษา
|
8.
|
การแข่งขันสร้างสรรค์ผลงานคณิตศาสตร์โดยใช้โปรแกรม GSP ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงชนิกานต์ ทองศาสตร์
2. เด็กหญิงศศิภัสสร วงศ์สุวรรณ
|
9.
|
การแข่งขันคิดเลขเร็ว ป.1-ป.3
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กชายอัคพนธ์ อินบาง
|
10.
|
การแข่งขันคิดเลขเร็ว ป.4-ป.6
|
4
|
ทอง
|
1. เด็กชายสรรค์ชากรณ์ กาญจนประดิษฐ์
|
11.
|
การแข่งขันต่อสมการคณิตศาสตร์ (เอแม็ท) ป.1-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กชายตนุภัทร อยู่ทอง
2. เด็กชายธนวรรธน์ มาลัย
|
12.
|
การแข่งขันซูโดกุ ป.1-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงกิตญาดา ศรีสิทธิพร
|
13.
|
การแข่งขันเวทคณิต ป.1-ป.3
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. ด็กชายพชรพัชร์ บุญเดชชัยกุล
|
14.
|
การแข่งขันเวทคณิต ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กชายรัชพล ศรีสำเภา
|
ที่
|
รายการแข่งขัน
|
อันดับ
|
เหรียญ
|
ชื่อ-นามสกุล
|
|
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
|
|
|
|
15.
|
การแข่งขันอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์
ป.4-ป.6
|
2
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงน้ำเพชร สาตร์เวช
2. เด็กหญิงพราวพิชชาไชยภูมิสกุล
3. เด็กชายอิษวัต รัตนสิริรัตน์
|
16.
|
การประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ประเภทสิ่งประดิษฐ์ ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กชายภควรรษ กลิ่นหอม
2. เด็กชายภูธิศ สุธาพจน์
3. เด็กหญิงระพีพรรณ เพียงพานิช
|
17.
|
การแข่งขันการแสดงทางวิทยาศาสตร์ (Science Show) ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงพลอยปภัส หื่ออินทร์
2. เด็กชายอธิวัฒน์ กองเผือก
3. เด็กชายอนงค์รัตน์ ลำพอง
|
|
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาฯ
|
|
|
|
18.
|
การประกวดเพลงคุณธรรม ป.1-ป.3
|
2
|
ทอง
|
1.เด็กหญิงจารุพิชญา พินิจสุวศิลป์
2. เด็กชายณัฐพล กันภัย
3. เด็กชายณัฐภัทร รอดดอน
4. เด็กหญิงรมย์รวินท์ อินทร์เขียว
5. เด็กหญิงลลิดา เอี่ยมจินดา
|
19.
|
การประกวดเพลงคุณธรรม ป.4-ป.6
|
3
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงกัญญพัชร ห่วงขาว
2. เด็กหญิงณัฐณิชาสัจจปัญญาพล
3. เด็กหญิงปฐมาวดี แก้วอุย
4. เด็กหญิงมนทา ศรีพิมลปาณี
5. เด็กหญิงมนนภา ศรีพิมลปาณี
|
20.
|
การประกวดเล่านิทานคุณธรรม ป.1-ป.3
|
3
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงจิดาภา ไชยพันธุ์
|
21.
|
การประกวดมารยาทไทย ป.1-ป.3
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงจอมขวัญ เจริญธรรม
2. เด็กชายเอกราช พุ่มเกษม
|
22.
|
การประกวดมารยาทไทย ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงณัชชา มาประดิษฐ์กุล
2. เด็กชายธีรเดช อนันตศักดิ์
|
|
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
|
|
|
|
23.
|
การแข่งขันตอบปัญหาสุขศึกษาและพลศึกษา ป.1-ป.6
|
2
|
ทอง
|
1. เด็กชายจิราวัฒน์ สาตเวช
2. เด็กชายธนพัฒน์ ประธานสกุล
|
ที่
|
รายการแข่งขัน
|
อันดับ
|
เหรียญ
|
ชื่อ-นามสกุล
|
|
กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์
|
|
|
|
24.
|
การแข่งขันการวาดภาพระบายสี ป.1-ป.3
|
9
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงเขมพิชญ์ วงค์อารีย์
|
25.
|
การแข่งขันการวาดภาพระบายสี ป.4-ป.6
|
7
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงชัญญานุช หอมทิพย์
|
26.
|
การแข่งขันขับร้องเพลงไทยลูกกรุง ประเภทชาย ป.1-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กชายชัยพร ศิขรินพร
|
27.
|
การแข่งขันขับร้องเพลงไทยลูกกรุง ประเภทหญิง ป.1-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงพรชัญญา บัวโพธิ์
|
28.
|
การแข่งขันขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ ประเภทชาย ป.1-ป.6
|
3
|
ทอง
|
1. เด็กชายยศพนธ์ ภูรินทร์ปรวัฒน์
|
29.
|
การแข่งขันขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ ประเภทหญิง ป.1-ป.6
|
2
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงภัคชุดา อึ้งอัมพร
|
|
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
|
|
|
|
30.
|
การแข่งขันพูดภาษาอังกฤษ (Impromptu Speech) ป.1-ป.3
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงศิรภัสสร ทองศาสตร์
|
31.
|
การแข่งขันพูดภาษาอังกฤษ (Impromptu Speech) ป.4-ป.6
|
2
|
|
1. เด็กหญิงปริณตรา น่วมนา
|
32.
|
การแข่งขันต่อศัพท์ภาษาอังกฤษ (ครอสเวิร์ด) ป.1-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กชายภูริวัฒน์ อักษรอินทร์
2. เด็กชายสุรภูมิ จันทร์เพ็ญ
|
|
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
|
|
|
|
33.
|
การแข่งขันการผูกเงื่อน เดินทรงตัวและโยนบอล ป.1-ป.3
|
3
|
ทอง
|
1. เด็กชายคณิศร ไตรสรณะกุล
2. เด็กชายธิติวุธ เสียงเพราะ
3.เด็กชายนิติพัฒน์ สิทธิโชคถาวรกุล
4. เด็กชายพงศกร คล้ายเอี่ยม
5. เด็กชายศุภณัฐ หมีไพร
6. เด็กชายเตชิต จูทอง
|
34.
|
การแข่งขันการทำหนังสือเล่มเล็ก
ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงกัณยากร ร่มโพรีย์
2. เด็กหญิงขวัญจิรา สุวรรณ
3. เด็กหญิงสุชานันท์ พิสิษฐ์มงคล
|
ที่
|
รายการแข่งขัน
|
อันดับ
|
เหรียญ
|
ชื่อ-นามสกุล
|
|
กลุ่มสาระการเรียนรู้งานอาชีพและเทคฯ
|
|
|
|
35.
|
การแข่งขันการสร้างการ์ตูนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก ป.1-ป.3
|
2
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงกาญจน์กิตติญา คงถาวร
2. เด็กหญิงจอมขวัญ เจริญธรรม
|
36.
|
การแข่งขันการสร้างการ์ตูนเรื่องสั้น (Comic Strip) ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงกรธีทอง ปิงวัง
2. เด็กหญิงปุณยากร ดีมา
|
37.
|
การแข่งขันการสร้างเกมสร้างสรรค์จากคอมพิวเตอร์ ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงจิณณพัต สืบมี
2. เด็กชายอภิสิทธิ์ กุลทิพย์
|
38.
|
การแข่งขันการใช้โปรแกรมนำเสนอ (Presentation) ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กชายพีรวิชญ์ ไกรกิจธนโรจน์
2. เด็กชายวิกรม เนยน้อย
|
39.
|
การแข่งขันการสร้าง Webpage ประเภท Web Editor ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กชายจรณินท์ เนตรวิจิตร
2. เด็กชายจักกฤษ ลิ้มภัทรจินดา
|
40.
|
การแข่งขันทำน้ำพริก ผักสด เครื่องเคียง ป.4 - ป.6
|
2
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงกาญจน์เกล้า ดาศรี
2. เด็กหญิงจุฬาลักษณ์ ชมเชย
3. เด็กหญิงภคมน ชุ่มชมไชย
|
41.
|
การแข่งขันแกะสลักผักผลไม้ ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงชุตินันท์ พุกโสภา
2. เด็กหญิงญาณิศา อาจปักษา
3. เด็กหญิงวีรดา วีรเสนีย์
|
|
ปฐมวัย
|
|
|
|
42.
|
การปั้นดินน้ำมัน ปฐมวัย
|
5
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงกัญญดา น้อยจริง
2. เด็กหญิงชญานุศภัฒค์ ฤทธิ์เดช
3. เด็กชายพงศภัค มูลทรัพย์
|
43.
|
การสร้างภาพด้วยการฉีก ตัด ปะ กระดาษ ปฐมวัย
|
4
|
ทอง
|
1. เด็กหญิง พัชรีพร ปังพิพัฒน์
2. เด็กหญิงณัฐนรี ชูพุทธพงษ์
3. เด็กหญิงโซฟียา อินทรวัชระ
|
3. เข้าร่วมการสอบแข่งขันหน้าที่พลเมืองเพชรยอดมงกุฎ ครั้งที่ 2 ณ โรงเรียนวัดราชบพิตร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 9-10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ได้รับรางวัลดังนี้
ระดับช่วงชั้นที่ 1
1. เด็กชายประวีร์ มะระ ได้รับรางวัลคะแนนผ่านเกณฑ์
2. เด็กหญิงตีรณา มุกดา ได้รับรางวัลคะแนนผ่านเกณฑ์
ระดับช่วงชั้นที่ 2
1. เด็กชายเอกอธิช สุขหงส์ ได้รับรางวัลคะแนนผ่านเกณฑ์
4. เข้าร่วมการแข่งขัน งานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 69 ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ปีการศึกษา 2562 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ณ โรงเรียนในสังกัด สพป.ราชบุรี เขต 2 จังหวัดราชบุรี วันที่ 4 - 11 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ผลการแข่งขันมีดังนี้
ที่
|
รายการแข่งขัน
|
อันดับ
|
เหรียญ
|
ชื่อ-นามสกุล
|
|
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
|
|
|
|
1.
|
การแข่งขันคัดลายมือสื่อภาษาไทย ป.1-ป.3
|
22
|
ทองแดง
|
1. เด็กหญิง วิสาขา ปัจฉา
|
2.
|
การแข่งขันเรียงร้อยถ้อยความ (การเขียนเรียงความ) ป.4-ป.6
|
25
|
เข้าร่วม
|
1.เด็กหญิงณัฏฐณิชา จังพานิช
|
|
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
|
|
|
|
3.
|
การแข่งขันอัจฉริยภาพทางคณิตศาสตร์
ป.1-ป.3
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กชายรเมศ บำรุงเชาว์เกษม
|
4.
|
การแข่งขันอัจฉริยภาพทางคณิตศาสตร์ ป.4-ป.6
|
6
|
เงิน
|
1.เด็กชายณัฐกิตติ์ โพธิ์พุทธ-
รักษา
|
5.
|
การแข่งขันสร้างสรรค์ผลงานคณิตศาสตร์โดยใช้โปรแกรม GSP ป.4-ป.6
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงชนิกานต์ ทองศาสตร์
2.เด็กหญิงศศิภัสสร วงศ์สุวรรณ
|
6.
|
การแข่งขันคิดเลขเร็ว ป.1-ป.3
|
2
|
ทองแดง
|
1. เด็กชายอัคพนธ์ อินบาง
|
7.
|
การแข่งขันต่อสมการคณิตศาสตร์ (เอแม็ท) ป.1-ป.6
|
4
|
ทอง
|
1. เด็กชายตนุภัทร อยู่ทอง
2. เด็กชายธนวรรธน์ มาลัย
|
8.
|
การแข่งขันซูโดกุ ป.1-ป.6
|
3
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงกิตญาดา ศรีสิทธิพร
|
9.
|
การแข่งขันเวทคณิต ป.1-ป.3
|
ชนะเลิศ
|
ทอง
|
1. เด็กชายพชรพัชร์ บุญเดชชัยกุล
|
10
|
การแข่งขันเวทคณิต ป.4-ป.6
|
4
|
เงิน
|
1. เด็กชายรัชพล ศรีสำเภา
|
|
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
|
|
|
|
11
|
การประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ประเภท
|
7
|
เงิน
|
1. เด็กชายภควรรษ กลิ่นหอม
|
ที่
|
รายการแข่งขัน
|
อันดับ
|
เหรียญ
|
ชื่อ-นามสกุล
|
|
สิ่งประดิษฐ์ ป.4-ป.6
|
|
|
2. เด็กชายภูธิศ สุธาพจน์
3. เด็กหญิงระพีพรรณ เพียงพานิช
|
12.
|
การแข่งขันการแสดงทางวิทยาศาสตร์ (Science Show) ป.4-ป.6
|
4
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงพลอยปภัส หื่ออินทร์
2. เด็กชายอธิวัฒน์ กองเผือก
3. เด็กชายอนงค์รัตน์ ลำพอง
|
|
กลุ่มสาระการเรียนสังคมศึกษา ศาสนาฯ
|
|
|
|
13.
|
การประกวดมารยาทไทย ป.1-ป.3
|
7
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงจอมขวัญ เจริญธรรม
2. เด็กชายเอกราช พุ่มเกษม
|
14.
|
การประกวดมารยาทไทย ป.4-ป.6
|
5
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงณัชชา มาประดิษฐ์กุล
2. เด็กชายธีรเดช อนันตศักดิ์
|
|
กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์
|
|
|
|
15.
|
การแข่งขันขับร้องเพลงไทยลูกกรุง ประเภทชาย ป.1-ป.6
|
6
|
ทอง
|
1. เด็กชายชัยพร ศิขรินพร
|
16.
|
การแข่งขันขับร้องเพลงไทยลูกกรุง ประเภทหญิง ป.1-ป.6
|
7
|
ทอง
|
1. เด็กหญิงพรชัญญา บัวโพธิ์
|
|
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
|
|
|
|
17.
|
การแข่งขันพูดภาษาอังกฤษ (Impromptu Speech) ป.1-ป.3
|
7
|
เงิน
|
1. เด็กหญิงศิรภัสสร ทองศาสตร์
|
18.
|
การแข่งขันต่อศัพท์ภาษาอังกฤษ (ครอสเวิร์ด) ป.1-ป.6
|
10
|
เงิน
|
1. เด็กชายภูริวัฒน์ อักษรอินทร์
2. เด็กชายสุรภูมิ จันทร์เพ็ญ
|
|
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
|
|
|
|
19.
|
การแข่งขันการทำหนังสือเล่มเล็ก ป.4-ป.6
|
8
|
เงิน
|
1. เด็กหญิงกัณยากร ร่มโพรีย์
2. เด็กหญิงขวัญจิรา สุวรรณ
3. เด็กหญิงสุชานันท์ พิสิษฐ์มงคล
|
|
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคฯ
|
|
|
|