ReadyPlanet.com
dot
dot
ข้อมูลโรงเรียน
dot
bulletประวัติ
bulletปรัชญา+คติพจน์
bulletหลักสูตร
bulletเพลง มาร์ชแย้มวิทยการ
dot
บุคลากร 2565
dot
bulletเจ้าหน้าที่ธุรการ
bulletบุคลากรอนุบาล
bulletบุคลากรประถม
dot
กิจกรรมประจำวัน
dot
bulletกิจกรรมชมรม
bulletห้องเรียนวิทยาศาสตร์
bulletห้องเรียนดนตรี
bulletอาชีพที่น่าภาคภูมิใจ
bullet นักเรียนชั้น อนุบาล 3 ไปชมการทำงานของไปรษณีย์โพธาราม
bullet อนุบาล 2 ฝึกคัดแยกขยะ
bulletนักเรียนชั้นอนุบาล 3/3 ทำการทดลองการเกิดรุ้งกินน้ำ
bulletอนุบาล 3 ปลูกแตงโม
dot
โครงการอยู่อย่างพอเพียง
dot
bulletกิจกรรมออมน้อย ร้อยล้าน
bulletกิจกรรมถุงผ้ามหัศจรรย์
bulletกิจกรรมสเปรย์กันภัยจากยุงร้าย
bulletกิจกรรมผักปลอดสารพิษ ชีวิตสดใส
bulletกิจกรรมขยะจ๋า ฉันลาก่อน
bulletกิจกรรมห้องน้ำสะอาด ขจัดคราบ ไร้กลิ่น
bulletกิจกรรมจานชามสะอาด ปราศจากเคมี
dot
โครงการรู้หน้าที่ รู้วิธี พัฒนาคน
dot
bulletกิจกรรมส่งครบ จบแน่
bulletกิจกรรมทำจริง ดีจริง
bulletกิจกรรมมาไว ใจสบาย
bulletกิจกรรมห้องน้ำสดใส
bulletกิจกรรมเด็กแย้มวัยใส หัวใจสีขาว
bulletกิจกรรม หยิบง่าย หายรู้ ดูงามตา
dot
โครงการแย้มสดใส วินัยสุขสันต์
dot
bulletกิจกรรมการเดินแถว
bulletกิจกรรมแถวตรง ธำรงวินัย
bulletกิจกรรมถูกคู่ รู้ที่
bulletกิจกรรมการเข้าแถวซื้ออาหารตามลำดับก่อน-หลัง
bulletกิจกรรมการแต่งกาย
bulletกิจกรรมอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ
dot
เศรษฐกิจพอเพียง
dot
bulletทำน้ำยาล้างจาน ป.6
bulletทำไข่เค็ม ป.5
bulletการแยกขยะ ป.4
bulletผักสวนครัวขวด ป.3
bulletสเปรย์ไล่ยุง ป.2
bulletกระเป๋าจากเสื้อ ป.1
bulletMy Teacher English
dot
การเรียนการสอนอนุบาล 2564
dot
bulletเตรียมอนุบาล
bulletอนุบาล 1/1
bulletอนุบาล 1/2
bulletอนุบาล 1/3
bulletอนุบาล 2/1
bulletอนุบาล 2/2
bulletอนุบาล 2/3
bulletอนุบาล 3/1
bulletอนุบาล 3/2
bulletอนุบาล 3/3
dot
แย้มสานสัมพันธ์
dot
bulletปี 2562
bulletปี 2563
dot
รายการอาหารกลางวัน
dot
bulletเดือนกรกฏาคม
bulletเดือนสิงหาคม
bulletเดือนกันยายน
bulletเดือนตุลาคม




ปี 2562

 แย้มสานสัมพันธ์

 

 

ปีที่ 18 ฉบับที่ 1 เดือน มิถุนายน  พ.ศ.2562

ทักทายกันหน่อย

            สวัสดีค่ะท่านผู้ปกครองและนักเรียนทุกคน แย้มสานสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับแรกสำหรับปีการศึกษา 2562 ซึ่งในแย้มสานฉบับนี้มีสาระน่ารู้ดีๆ ที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ ก่อนอื่นขอแนะนำครูคนใหม่ของโรงเรียนจำนวน 5 ท่าน  ดังนี้

            1. ครูชลธิดา                   กัมพลานนท์                   สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ป.1

            2. ครูภัทราวดี                  พรหมสมบัติ                  สอนวิชาภาษาไทย ป.2

            3. ครูจิตสุภา                    อิ่มบุญสุ                         สอนวิชาคณิตศาสตร์ ป.5

            4. ครูวาสนา                    เครือวัลย์                        สอนวิชาสังคมศึกษา ป.6 และวิชาประวัติศาสตร์ ป.6

            5. ครูวิภาวรรณ               ไชยเดชกำจร                  ครูประจำชั้นอนุบาล 2/2

********************************************************************************************************

ข่าววิชาการ

          ปีการศึกษาที่ผ่านมา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียน จำนวน  119 คน สามารถสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ในโรงเรียนต่าง ๆ ดังนี้

            1.โรงเรียนโพธาวัฒนาเสนี                                                  17         คน

            2. โรงเรียนโพธาวัฒนาเสนี ห้องเรียนพิเศษ                        14         คน

            3. โรงเรียนเบญจมราชูทิศ                                                   15         คน

            4. โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ห้องเรียนพิเศษ                          11         คน

          5. โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง         17         คน

           6. โรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์                                           9          คน

           7. โรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์ ห้องเรียนพิเศษ                  6          คน

            8. โรงเรียนนารีวิทยา                                                          1           คน

            9. โรงเรียนดรุณาราชบุรี                                                     4          คน

            10. โรงเรียนสิริธรราชวิทยาลัย                                           6          คน

            11. โรงเรียนนารีวุฒิ                                                            3          คน

            12. โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย                                      3          คน

            13. โรงเรียนบรมราชินี ปากท่อ                                           2          คน

            14. โรงเรียนราชินีบูรณะ จ.นครปฐม                                  2          คน

            15. โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จ.นครปฐม                          2          คน

            16. โรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัย                                            1           คน

            17. โรงเรียนสวนกุหลาบ รังสิต                                          1           คน

            18. โรงเรียนสามพรานวิทยา                                               1           คน

            19. โรงเรียนกีฬาเทศบาลนครปฐม                                      1           คน

            20. โรงเรียนสายธรรมจันทร์                                                1          คน

            21. โรงเรียนสุริยวงศ์                                                            1          คน

            22. โรงเรียนมัธยมวัดไทร                                                    1          คน

          ทางโรงเรียนขอแสดงความยินดีกับนักเรียนทุกคนด้วยนะคะ 

กิจกรรมประจำเดือนมิถุนายน

            1 มิถุนายน 62                 กิจกรรมประชุมผู้ปกครอง

          13 มิถุนายน 62                 กิจกรรมวันไหว้ครู

          14 มิถุนายน 62                 กิจกรรมเลือกตั้งประธานนักเรียน

          15-16 มิถุนายน 62           กิจกรรมค่ายพุทธบุตร ป.5-6

          26 มิถุนายน 62                กิจกรรมวันต่อต้านยาเสพติด

          27 มิถุนายน 62                กิจกรรมวันสุนทรภู่

       ผู้ปกครองสามารถชมภาพกิจกรรมเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ของโรงเรียน  WWW.YAMVITAYACARN.COM

 สำนวนไทยน่ารู้

                                                                              

กินบุญเก่า หมายถึง ยังมีความดีเหลืออยู่ หรือ อยู่สุขสบายเพราะได้รับผลบุญจาก  

    กรรมดีที่ทำไว้แต่ชาติปางก่อน

 ที่มา : https://www.xn--เกร็ดความรู้.net/สำนวนไทย-สุภาษิตไทยและคำพังเพยน่ารู้/

 สาระน่ารู้

เจ็บคอ อย่ามัวแต่กินยาแก้อักเสบ

บางคนคิดว่าอาการเจ็บคอเกี่ยวข้องกับคออักเสบ จึงหา “ยาแก้อักเสบ”  มากิน โดยหารู้ไม่ว่า “ยาแก้อักเสบ” นั้นที่แท้คือยาปฏิชีวนะที่มีประโยชน์ในการบำบัดโรคติดเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะเท่านั้น ไม่มีประโยชน์ในการแก้อักเสบที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ แต่อย่างใด การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อเกินจำเป็น นอกจากสิ้นเปลืองแล้ว ในระยะยาวยังอาจ    เกิดโทษต่อร่างกาย เช่น ส่งเสริมให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา การแพ้ยา การเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้

สาเหตุที่พบบ่อยของอาการเจ็บคอ

1. กรณีเจ็บคอร่วมกับมีไข้

- คออักเสบจากเชื้อไวรัส /ไข้หวัด ผู้ป่วยจะมีไข้  เจ็บคอเล็กน้อย ตรวจดูภายในลำคอ ไม่พบว่ามีทอนซิลโตและผนังคอหอยไม่มีลักษณะอักเสบ (คือไม่พบว่ามีสีแดงกว่าปกติ) ในกรณีที่เป็นไข้หวัด จะมีอาการเจ็บคอในลักษณะดังกล่าวในวันแรกๆ และต่อมา

 

เมื่อมีอาการน้ำมูกไหล อาการเจ็บคอมักจะทุเลาไปเอง

- ทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยจะมีไข้สูง เจ็บคอมาก กลืนลำบาก ตรวจดูภายในลำคอพบทอนซิลบวมโต ออกสีแดงจัดและอาจมีจุดหนองอยู่บนทอนซิล

2. กรณีเจ็บคอโดยไม่มีไข้

- โรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอเล็กน้อย และมักมีอาการคันคอ คันจมูก จาม น้ำมูกใสๆร่วมด้วย เวลาสัมผัสถูกสิ่งที่แพ้ เช่น ฝุ่น ละอองเกสร อากาศเย็น เป็นต้น มักมีอาการเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง

- การระคายเคือง ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอเล็กน้อย เวลาถูกสิ่งระคายเคือง  เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เป็นต้น เมื่อละเว้นจากสิ่งเหล่านี้ก็จะค่อยๆ ทุเลาไปเอง

- แผลร้อนใน (แผลแอฟทัส) เมื่อเกิดขึ้นที่คอหอย ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคออย่างมาก จนกลืนและพูดลำบาก ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บทั่วลำคอ แต่สามารถบอกชี้ได้ว่ามีจุดที่เจ็บตรงไหนได้ชัดเจน อาการเจ็บจะเป็นมากที่สุดใน 3-4 วันแรก หลังจากนั้นจะเจ็บน้อยลง และค่อยๆทุเลาไปได้เองภายใน 7-10 วัน

- โรคกรดไหลย้อน มักพบในวัยกลางคนขึ้นไป (ส่วนน้อยอาจพบในวัยหนุ่มสาว) ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอเล็กน้อยในช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้า อาจมีอาการเสียงแหบหรือไอร่วมด้วย พอสายๆ ก็ทุเลาไป มักเป็นทุกวัน เรื้อรังเป็นแรมเดือน หรือจนกว่าได้รับการบำบัดรักษา บางคนอาจมีอาการเจ็บลิ้นปี่หลังกินอาหารร่วมด้วย

การดูแลตนเองเมื่อมีอาการเจ็บคอ สามารถปฏิบัติตัว ดังนี้

1. ควรไปพบแพทย์ หากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

- มีไข้สูง และเจ็บคอมาก

- มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว

- มีอาการเจ็บคอทุกวันเกิน 1 สัปดาห์

- คลำได้ก้อนแข็งที่ข้างคอ

2. หากไม่มีอาการดังในข้อ 1 ควรให้การดูแลเบื้องต้นดังนี้

 

- งดดื่มเหล้า และบุหรี่

- หากมีน้ำมูกใสหรือมีอาการของโรคภูมิแพ้ ให้กินยาแก้แพ้ - คลอร์เฟนิรามีน

- หากมีไข้หรือเจ็บคอมาก ให้กินพาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด ซ้ำได้ทุก             6 ชั่วโมง

- กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ โดยผสมเกลือป่น 1 ช้อนชาในน้ำอุ่น 1 แก้ว วันละ 2-3 ครั้ง

- หากไม่ทุเลาใน 4 วัน ควรไปพบแพทย์

 

ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/48922-เจ็บคออย่ามัวแต่กินยาแก้อักเสบ.html

มุมธรรมะ


ปจฺจุปฺปนฺเนน ยาเปนฺติ      อ่านว่า   ปัจจุปปันเนนะ ยาเปนติ   

แปลว่า   ควรดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน

 ที่มา : https://news.ch7.com/proverb/พุทธศาสนสุภิต.htm

 มุมสุขภาพ

อาหารแปรรูป วายร้ายทำลายไต

75% ของการเสียชีวิตของคนไทย มาจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่ง 22.05 ล้านคน ป่วยเป็นโรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมติดเค็ม ซึ่งคนไทยกินเค็มเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำถึง 2 เท่า นั่นคือ ราว ๆ 4,352 มิลลิกรัม/วัน ขณะที่เราไม่ควรกินเกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน

            สูญเสียกันไปเท่าไหร่กับโรคที่เกิดจากการกินเค็ม แน่นอนว่ามูลค่านั้นสูงทีเดียว การประเมินความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากพฤติกรรมติดเค็มสูงถึง 98,976 ล้านบาท/ปี  จากค่ารักษาพยาบาลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด กับไตวายระยะสุดท้าย 10,000,000  คน คือตัวเลขของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทย  ซึ่งโรคดังกล่าวเป็นตัวตั้งส่งผลถึงอวัยวะอื่นๆในร่างกาย โดยเฉพาะไตที่ต้องทำงานหนักขึ้นจนเป็น “ไตวายเรื้อรัง” และต้อง ล้างไตสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ทำให้เสียค่าใช้จ่ายต่อปีราว ๆ 200,000 บาท หากรวมค่ายาด้วยก็แตะค่าใช้จ่ายถึง 400,000 บาทต่อปีเลยทีเดียว

เราจึงไม่สามารถปล่อยให้ทีมแพทย์รักษาผู้ป่วยที่เกิดจากติดเค็มได้ฝ่ายเดียว  ดังนั้น การป้องกันและให้ความรู้กับประชาชนเป็นเรื่องสำคัญมาก โครงการ “ลดเค็ม  ลดโรค” ของโครงการรณรงค์ลดการบริโภคโซเดียมในประเทศไทย โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงเกิดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงโทษของการบริโภคโซเดียม และหันกลับมาบริโภคเค็มในระยะ     ที่ปลอดภัย

เครื่องปรุงที่มีเกลือโซเดียม

ไม่ว่าจะเป็น ‘เกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส กะปิ และซอสหอยนางรม’ นับเป็นเครื่องปรุงรสที่มีเกลือโซเดียมผสมทั้งหมด และยิ่งไปกว่านั้น คือพฤติกรรมของคนไทยที่เพิ่มรสเค็มลงไปในอาหาร เช่น เติมพริกน้ำปลาลงไปในข้าว เติมน้ำปลาลงในก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น จึงไม่แปลกที่ทำให้การบริโภคเค็ม/วัน เกินมาตรฐานของ WHO ไปถึง 2 เท่าเลยทีเดียว

ปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรส

เกลือ 1 ช้อนชา                           =          2,000 มิลลิกรัม

น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ                     =          1,160 - 1,420 มิลลิกรัม

ซีอิ๊ว 1 ช้อนโต๊ะ                         =          690 - 1,420 มิลลิกรัม

ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ             =          1,150 มิลลิกรัม

กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ                         =          1,430 - 1,490 มิลลิกรัม

ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ       =          420 - 490 มิลลิกรัม

นอกจากเครื่องปรุงรสแล้ว อาหารที่คนไทยนิยมกินและมีปริมาณโซเดียมสูงมาก คือ อาหารแปรรูป” มาดูกันว่า อาหารแปรรูป แต่ละชนิดมีปริมาณโซเดียมอยู่เท่าไหร่

ขนมปัง แผ่น 1 แผ่น                   =          120 - 140 มิลลิกรัม

โดนัท 1 ชิ้น                                =          180 มิลลิกรัม

 

ซาลาเปา 1 ชิ้น                            =          200 มิลลิกรัม

ขนมเค้ก 1 ชิ้น                            =          400 มิลลิกรัม

แหนมย่าง 1 ไม้                          =          480 มิลลิกรัม

ลูกชิ้นหมู 15 กรัม                       =          320 มิลลิกรัม

โบโลน่าหมู 15 กรัม                   =          410 มิลลิกรัม

หมูแผ่น 30 กรัม                          =          862 มิลลิกรัม

หมูยอ 2 ช้อนโต๊ะ                       =          227 มิลลิกรัม

ไข่เค็ม 1 ฟอง                              =          300-500 มิลลิกรัม

โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป 1 ซอง               =          1,900 มิลลิกรัม

น้ำจิ้มข้าวมันไก่ 1 ช้อนโต๊ะ        =          214 มิลลิกรัม

น้ำจิ้มสุกี้ 1 ช้อนโต๊ะ                   =          280 มิลลิกรัม

ซุปก้อน 1 ก้อน                           =          2,600 มิลลิกรัม

ส้มตำปู 100 กรัม                         =          2,000 มิลลิกรัม

ต้มยำปลากระป๋อง 100 กรัม        =          3,000 มิลลิกรัม

แกงเลียง โซเดียมเฉลี่ย                =          800 มิลลิกรัม

บะหมี่น้ำหมูแดง                         =          1,500 มิลลิกรัม

กวยจั๊บ                                        =          1,450 มิลลิกรัม

ผัดไท                                          =          1,200 มิลลิกรัม

อาหารที่เรากินเข้าไป เผลอๆ แค่เพียง 1 มื้อ ก็ทำให้ปริมาณโซเดียมที่เราควรบริโภคก็เกินแล้ว แต่เราสามารถบอกแม่ค้า พ่อค้าได้ว่า ใส่น้ำปลาเล็กน้อย หรือไม่ใส่เลย   ก็ได้ ส่วนอาหารแปรรูปนั้นถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็เลือกกินในปริมาณที่เหมาะสม เพราะการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนั้น เกิดจากพฤติกรรมการกินที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง หาก ลดเค็ม ลงตั้งแต่วันนี้ พร้อมกับ “ลดหวาน ลดมัน” ด้วยแล้ว จะยิ่ง    ทำให้สุขภาพดีและห่างไกลจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังแน่นอน

 

ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/47926-อาหารแปรรูปวายร้ายทำลายไต.html

เกมส์ลับสมอง ประลองปัญญา

เกมส์ : จับเลขลงช่อง (ให้นักเรียนนำตัวเลขที่ให้มาใส่ลงช่องให้ถูกต้อง)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

4

9

7

0

4

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

3 หลัก     008          453          480          541          656          713          832

หลัก     0163        0352        0418        0432        0438        1012        1101        1118        1403       

1447        1864        2006        2126        2403        3528        4056        4188        4442        4669       

4953        5052        5056        5406        5583        5754        7039        7206        7210        7545       

7787        8133        8842        8928        9013        9085        9159        9537        9765

5 หลัก     01719      01998      11642      13148      16336      28994      35298      37581      41813  

43926      47170      49704      63715      67393      72701      73005      83790      84607      95040

6 หลัก     475048    476854    828121    937361                    7 หลัก     0643134     1587087

8 หลัก     00921463    22830462    66340217     86029277  

 

9 หลัก     052372955   095831154   283234787    734958392


 

 

ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม  พ.ศ.2562

ทักทายกันหน่อย

            สวัสดีค่ะท่านผู้ปกครองและนักเรียนทุกคน แย้มสานสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่สองแล้วนะคะ ซึ่งในแย้มสานฉบับนี้มีสาระน่ารู้ดีๆ ที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ ก่อนอื่นขอแนะนำครูคนใหม่ของโรงเรียนจำนวน 2 ท่าน  ดังนี้

            1. ครูเมวิกา                     สุขเจริญ             ครูเตรียมอนุบาล            

            2. ครูนิภาพร                   เชื้อสมุทร          ครูเตรียมอนุบาล

            ********************************************************************************************************

กิจกรรมประจำเดือนกรกฎาคม

            7 กรกฎาคม 2562                        กิจกรรมค่ายพุทธบุตร ป.3-4

            12 กรกฎาคม 2562                      กิจกรรมแห่เทียนเข้าพรรษา

                                                                กิจกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น

            19 กรกฎาคม 2562                      กิจกรรมวันภาษาไทยแห่งชาติ

            16-17 กรกฎาคม 2562                 หยุดวันอาสาฬหบูชา-วันเข้าพรรษา

            24-26 กรกฎาคม 2562                 ประเมินพัฒนาการระดับปฐมวัย

            25-26 กรกฎาคม 2562                 สอบกลางภาคเรียนที่ 1 ป.1-6

            29 กรกฎาคม 2562                      หยุดชดเชยวันเฉลิมพระชนมพรรษา ร.10 

                        ผู้ปกครองสามารถชมภาพกิจกรรมเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ของโรงเรียน  WWW.YAMVITAYACARN.COM

สำนวนไทยน่ารู้

                     ขี้แพ้ชวนตี  หมายถึง  แพ้ตามกติกาแล้ว ยังไม่ยอมรับว่าแพ้ จะเอาชนะด้วยกำลัง

 ที่มา https://www.xn--สำนวนไทย-สุภาษิตไทยและคำพังเพยน่ารู้/

 สาระน่ารู้

ปราบยุงให้สิ้นลาย

“ยุงลาย” ถือเป็นแมลงที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อยุงลายกัด แล้วฉีดน้ำลายลงไปในบริเวณที่เจาะดูดเลือด บางคนจะมีอาการคัน แต่บางคนอาจมีอาการแพ้จนเกาและเป็นแผลติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ในน้ำลายของยุงอาจมีเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา ไข้ปวดข้อยุงลาย เป็นต้น    

หลายคนรู้ว่าวิธีป้องกันไม่ให้เกิดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง คือการกำจัดแหล่งน้ำขังเพื่อไม่ให้ยุงวางไข่ แต่การเทน้ำทิ้งจากภาชนะเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะยุงลาย 1 ตัว ออกลูกได้ประมาณ 500 ตัว และไข่ก็สามารถอยู่ได้เป็นปีแม้ในที่ไม่มีน้ำ เราจึงต้องล้างและขัดภาชนะรองรับเพื่อกำจัดไข่ยุงลายด้วย ด้วยเหตุนี้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำสื่อเพื่อสร้างความตระหนักในการดูแลสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้ถูกหลัก และเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนในสังคมในเรื่องของการกำจัดยุงลายให้สิ้นซาก

ในปี 2562 กรมควบคุมโรค ได้คาดการณ์ว่าโรคไข้เลือดออกจะระบาดหนัก และอาจมีผู้ป่วยมากถึงแสนกว่าราย ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี และในช่วงเข้าสู่ฤดูฝน จึงเป็นช่วงที่ยุงลายเตรียมตัววางไข่เพื่อขยายพันธุ์อีกครั้ง ซึ่งในปีนี้โรคไข้เลือดออกที่พบส่วนใหญ่เป็นเชื้อไวรัสเดงกี่สายพันธุ์ที่ 2 ที่มีความรุนแรงมากที่สุดใน 4 สายพันธุ์ และหากผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกครั้งที่ 2 จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นหากพบผู้ที่มีไข้สูงลอยนาน 2 วัน ควรรีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน  นอกจากนี้ มีมาตรการในการป้องกันคือ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ประกอบไปด้วย

            1. เก็บบ้านให้สะอาด ไม่ให้มีมุมอับทึบ เป็นที่เกาะพักของยุง

            2. เก็บขยะ เศษภาชนะ ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง

            3. เก็บน้ำ ภาชนะที่ใส่น้ำต้องมีฝาปิดมิดชิด ป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่

            การทำตามมาตรการดังกล่าว จะช่วยป้องกันได้ถึง 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย โดยในวันนี้ขอนำเสนอเทคนิคง่าย ๆ ในการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายมาฝากกันค่ะ

            1. ภาชนะใส่น้ำ ควรปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิดเสมอ โอ่งดินเผาหรือโอ่งซีเมนต์ควรใช้มุ้งหรือตาข่ายไนล่อนหุ้มฝาโอ่งอีกชั้นก่อนปิด ภาชนะที่ปิดฝาไม่ได้อาจใส่ปลากินลูกน้ำ เช่น ปลาหางนกยูง ปลาสอด หรือใส่ทรายกำจัดลูกน้ำ 1 กรัม/น้ำ10 ลิตร

            2. แจกันดอกไม้ ต้องเปลี่ยนน้ำทุก 7 วัน และอย่าลืมขัดภาชนะ เพราะตามขอบแจกัน ยุงก็สามารถวางไข่ได้

            3. จานรองตู้กับข้าว ให้ใส่ทรายกำจัดลูกน้ำ หรือเกลือแกง 2 ช้อนชา หรือน้ำส้มสายชูชนิด 5 % จำนวน 1 ช้อนชาครึ่ง ต่อจานรองขาตู้ 1 ใบ

            4กระถางต้นไม้ ให้ใส่ทรายลงในจานรองกระถางต้นไม้ให้มีความลึก ¾ ส่วน ของจาน เพื่อให้ทรายดูดซับน้ำเอาไว้

            5หมั่นสังเกต ยางรถยนต์เก่าและเศษวัสดุต่าง ๆ ที่มีน้ำขัง ควรปิด เก็บ หรือคว่ำภาชนะใส่น้ำที่ไม่ได้ใช้ทุกชนิด

            นอกจากการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย การป้องกันตัวไม่ให้ถูกยุงกัดสามารถทำได้ด้วยวิธีดังนี้

            1. นอนในมุ้ง (แม้จะเป็นเวลากลางวัน) หรือห้องที่มีมุ้งลวด

            2. หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่เป็นมุมมืด อับลม

            3. ไม่สวมเสื้อผ้ารัดรูป เพราะปากยุงสามารถเจาะผ่านเนื้อผ้าได้ การสวมเสื้อผ้า หลวม ๆ แขนยาว ขายาว จะช่วยลดโอกาสที่ปากยุงจะมาสัมผัสผิวหนัง และเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้าสีเข้ม เพราะจะดึงดูดยุงมากกว่าสีอ่อน

            4. ทายากันยุงในกรณีที่มีความจำเป็น อ่านวิธีใช้และคำเตือนบนฉลาก และต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะยาทากันยุงบางชนิดห้ามใช้กับเด็กอายุน้อยกว่า 4 ปี

            5. อาบน้ำและรักษาร่างกายให้สะอาด ผู้ที่มีกลิ่นตัวแรงหรือมีอุณหภูมิของร่างกายสูงกว่าผู้อื่นจะดึงดูดยุงให้มากัดมากกว่า

      หลายคนมักคิดว่า พอมืดยุงจะเยอะ แต่ที่จริงแล้ว ยุงลายจะออกกัดดูดเลือดในเวลากลางวัน ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเย็น และถ้าในห้องมีแสงไฟสว่างเพียงพอ ยุงลายอาจกัดดูดเลือดถึงพลบค่ำเลยทีเดียว ดังนั้นการป้องกันในช่วงเวลากลางวันก็เป็นสิ่งที่สำคัญ

เนื่องในวันที่ 15 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันไข้เลือดออกอาเซียน (ASEAN Dengue Day) เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนในอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ตระหนักถึงการป้องกันโรคและร่วมกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง สสส.และกรมควบคุมโรค จึงได้เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชนทั่วไปผ่านโครงการ “เอาจริง ให้ยุงสิ้นลาย” เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้แก่ประชาชนและตระหนักถึงอันตรายของยุงลาย รวมถึงวิธีการกำจัดยุงลายที่ถูกต้องด้วย โดยใช้ข้อมูลวิชาการที่เกี่ยวกับยุงลาย เช่น ยุงลายมีการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว  การเทน้ำทิ้งอย่างเดียวไม่พอ ต้องล้างและขัดภาชนะเพื่อกำจัดไข่ยุงลายด้วย เป็นต้น

ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/49115-ปราบยุงให้สิ้นลาย.html

 มุมธรรมะ

      สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี        อ่านว่า   สุขา สังฆัสสะ สามัคคี                                              

                                               แปลว่า   ความสามัคคีของหมู่คณะ นำมาซึ่งความสำเร็จ

 ที่มา https://news.ch7.com/proverb/21พุทธศาสนสุภาษิต.html

 มุมสุขภาพ

 อย่าให้อารมณ์ อยู่เหนืออาหาร

            “ใครจะรู้เท่าตัวเรา” เคยถามตัวเองไหมว่า อาหารที่เรากินอยู่ทุกวันนี้เรากินเพราะหิว หรือกินเพราะอยาก ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เจอร้านสวย ๆ เก๋ ๆ อาหารหน้าตาหน้ากินไปเสียหมด สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ผิดอะไร หากเราจะกินสักครั้ง แต่ถ้ากินบ่อย กินประจำจนชิน ก็คงนึกภาพไม่ออกว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้าตัวเราจะอ้วนขนาดไหน หรือมีโรคอะไรตามมา และหากเราไม่เริ่มจัดการกับอารมณ์อยากของตัวเองตั้งแต่วันนี้ ร่างกายในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

          ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้นำองค์ความรู้หลัก 3 อ. คือ อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ มาใช้กับคนทุกช่วงวัย เพื่อให้คนไทยกินอาหารที่มีประโยชน์ เพิ่มการออกกำลังกาย และใช้อารมณ์ในการเอาชนะตนเองเพื่อสุขภาพที่ดี โดยกิจกรรมล่าสุดที่ผ่านมา คือ การต่อยอดจากแคมเปญลดพุงลดโรค ในภารกิจ “ท้า คุณ เปลี่ยน” ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ มาดูแลผู้ร่วมแข่งขัน ทั้งการกินอาหาร การออกกำลังกาย และการเรียนรู้ปรับใช้ในอารมณ์ของตนเองให้ถูกต้องเหมาะสมกับการมีสุขภาพที่ดี

            ด้านอาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. และที่ปรึกษาด้านโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข หนึ่งในโค้ชผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร บอกว่า นอกจากการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง และการออกกำลังกายที่เพียงพอแล้ว “อารมณ์” ก็เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการขับเคลื่อนให้เรามีกำลังใจในการออกกำลังกาย ลดความอยากอาหารที่นอกเหนือจากมื้อหลัก และเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสุขภาพดี แค่ลองเปลี่ยนมุมมองความคิด เช่น “วันนี้ฝนตกไม่มีอารมณ์ไปออกกำลังกาย กับวันนี้ฝนตกออกกำลังกายที่บ้านก็ได้ไม่เป็นไร” หรือ “กินข้าวอิ่มแล้ว ก็คือรู้ว่าอิ่ม ไม่ใช่อยากกินไปหมด เห็นอะไรก็อยากไปหมด” การตัดสินใจนั้นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับอารมณ์เป็นตัวตั้ง หากทุกคนมีความตั้งใจที่จะลดน้ำหนัก ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองต้องรู้จักวิธีการปรับอารมณ์ตนเองด้วย ต้องมีความตั้งใจและมุ่งมั่น จริงจัง อดทน พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้  ที่สำคัญเวลาที่รู้สึกเครียดต้องหาทางผ่อนคลาย อย่าหาทางออกด้วยการกินเพราะยิ่งทำเช่นนี้ก็ยิ่งเพิ่มรอบพุงให้กับเราได้ง่ายมากขึ้น

            อาจารย์สง่า อธิบายต่อว่า มีหลายคนพยายามหาตัวช่วยมาลดน้ำหนัก โดยมองข้ามเรื่องเล็ก ๆ ไป นั่นคือ กำลังใจจากตัวเราและคนรอบข้าง ทั้ง พ่อ แม่ หรือลูก สิ่งเหล่านี้เป็นพลังงานบวกที่จะช่วยให้เราลดอารมณ์ ขี้เกียจ ลดการหาข้ออ้างในการไม่อยากออกกำลังกายลงได้ หรืออีกหนึ่งมุมมองคือ การมีสุขภาพที่ดีนั้น เมื่อเราแก่ตัวไปจะไม่ตกเป็นภาระของลูกหลาน ต้องแข็งแรงเพื่อดูแลลูกหลาน และต้องเปลี่ยนชีวิตที่เหลือไม่ให้เป็นวันที่สูญเปล่า การซื่อสัตย์กับตัวเองเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เรามีเป้าหมายชัดเจน เพราะการมีสุขภาพที่ดีต้องไม่ฝืน ไม่กดดันตัวเอง ทำเท่าที่เราทำไหว เริ่มจากเปลี่ยนจากเดินเป็นเดินเร็ว จากเดินเร็วเป็นการวิ่ง เท่านี้ก็ทำให้เรามีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นแล้ว

ลองเช็คสักนิด ทำไมเราถึงอ้วน

            1. มีพฤติกรรมชอบรับประทานอาหาร จำพวก แป้ง ไขมัน น้ำตาล ของหวาน

            2. พันธุกรรม หากพ่อแม่อ้วน ลูกก็จะมีโอกาสอ้วน

            3. เกิดจากความผิดปกติของการทำงานจากต่อมไร้ท่อ ทำให้ต่อมไร้ท่อหลั่งฮอร์โมนบางชนิดผิดไป

            4. ความผิดปกติของสมองส่วนไฮโปทามัส ที่ทำให้การควบคุมการกินอาหารผิดปกติ

            5. การกินยาบางชนิดที่ทำให้เกิดการอยากอาหารมากขึ้น

            6. ความเครียด ที่ทำให้รู้สึกอยากรับประทานอาหารบ่อยขึ้น ทั้งของหวาน หรือขนมต่าง ๆ

            หากมีพฤตกรรมเหล่านี้ ก็จะทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้มากขึ้น ดังนั้น สิ่งที่จะช่วยได้มีดังนี้

1. ลดอาหารขยะ (Junk Food) เช่น น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยว อาหารทอด และอาหารจานด่วน เพราะเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อย แต่มีแคลอรี่สูง ควรรับประทานอาหารประเภทผัก ธัญพืช และผลไม้แทน           

2. รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้า เป็นมื้อสำคัญที่จะสร้างพลังงานและสารอาหารให้เรามีแรงทำงานในแต่ละวัน และที่สำคัญจะช่วยลดการกินจุบจิบของขนมที่มีทั้งโซเดียม ไขมัน และน้ำตาลสูง ลงได้

3. ไม่ควรรับประทานอาหารไปพร้อมกับการทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น ดูโทรทัศน์ คุยโทรศัพท์ หรืออ่านหนังสือ เพราะจะทำให้เรากินมากกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว

4. เคี้ยวอาหารให้ช้า อย่างน้อยให้ได้ 10 ครั้ง ต่อหนึ่งคำ เพราะถ้าเคี้ยวเร็ว เราจะกินได้มากขึ้น

5. งดขนมหวาน เครื่องดื่มน้ำอัดลมตอนกลางคืน เพราะร่างกายจะไม่เผาผลาญทำให้เกิดไขมันส่วนเกินได้

6. รับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ เพื่อสร้างกากใยช่วยในการขับถ่าย เพิ่มวิตามิน เกลือแร่ สารอาหารที่สำคัญให้แก่ร่างกาย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้

7. เลือกอาหารที่มาจากธรรมชาติ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เช่น ข้าวไม่ขัดสี ข้าวกล้อง ข้าวสาลี ถั่ว

8. ดื่มน้ำผักผลไม้ที่คั้นสด งดเครื่องดื่มแอลกอฮออล์

9. ดื่มน้ำเปล่าและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะจะช่วยให้มีน้ำหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายได้

การมีสุขภาพที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องมีความรู้ความเข้าใจกับการปฎิบัติตัวให้ถูกต้อง หากเรารู้วิธีการที่ถูกต้องก็จะสามารถสร้างวินัยให้กับตนเองได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์เป็นทุกอย่างของการกระทำ แต่จงเปลี่ยนอารมณ์ให้เป็นความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น

ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/49282-อย่าให้อารมณ์อยู่เหนืออาหาร.html

เกมส์ลับสมอง ประลองปัญญา

 เกมส์ เติมคำสร้างคำ

กติกา : ให้นักเรียนเติมคำลงในช่องว่างที่เว้นไว้ เพื่อให้เกิดคำประสมที่มีความหมายตามพจนานุกรม โดยแต่ละข้อจะใช้คำเดียวกันทั้งกลุ่ม ดังตัวอย่าง อก ลงในช่องว่าง จะได้       เอกภพ, อกตัญญู, กระบอก ส่วนข้ออื่นๆ จะเป็นไปในลักษณะเดียวกัน แต่ละข้อต้องเติมคำอะไร ลองคิดดูนะคะ

            1เ   ภ พ (ตัวอย่าง)                             2. รู ป _ _ _ ณ์

                  ตั ญ ญู                                              วิ ช า _ _ _

                ก ร ะ บ                                                _ _ _ ะ เ ก ด    

            3. อ ดี _ _ า ล                                         4. โ ข ย ก _ _ _ 

                อ ก แ _ _                                                 _ _ _ อ ะ ข ย ะ

                _ _ ต ะ ลึ ง                                             ลู ก _ _ _

            5. ต้ น _ _ ง                                           6. ฝ่ า ย _ _ _ 

                ต า พ _ _                                               พิ ม _ _ _

                _ _ ง ก า ย                                             _ _ _ า ธิ ก า ร

            7. โ ฮ ก _ _                                           8. พ า _ _ 

                _ _ เ ร็ ม                                                ห ว ง แ _ _

               เ ฮ _ _                                                     _ _ ว ก หู

 

ปีที่ 18 ฉบับที่ 3 เดือน สิงหาคม  พ.ศ.2562

ทักทายกันหน่อย

            สวัสดีค่ะท่านผู้ปกครองและนักเรียนทุกคน แย้มสานสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่สามแล้ว ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ เช่นเคยค่ะแย้มสานฯฉบับนี้มีสาระน่ารู้ดีๆ ที่น่าสนใจมาฝากกันเหมือนเดิมค่ะ

********************************************************************************************************

กิจกรรมประจำเดือนสิงหาคม

            8 สิงหาคม 2562                          กิจกรรมวันแม่แห่งชาติ

                                                                กิจกรรมบรรยายธรรมครั้งที่ 1

                                                                กิจกรรมธรรมบันเทิงใจ

            9 -11 สิงหาคม 2562                    กิจกรรมค่ายพักแรมลูกเสือ-เนตรนารีสามัญ

            16 สิงหาคม 2562                        กิจกรรมวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

            18 สิงหาคม 2562                        ประกาศผลสอบ

            19 – 23 สิงหาคม 2562                กิจกรรมประกวดมารยาทไทย ครั้งที่ 1

                                                                กิจกรรมสัปดาห์คณิตศาสตร์

            20 สิงหาคม 2562                        กิจกรรมทัศนศึกษา อนุบาล 3

            24 สิงหาคม 2562                        กิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษ อนุบาล 3

                        ผู้ปกครองสามารถชมภาพกิจกรรมเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ของโรงเรียน  WWW.YAMVITAYACARN.COM

สำนวนไทยน่ารู้

                  กบในกะลาครอบ หมายถึง ผู้มีความรู้และประสบการณ์น้อย แต่สำคัญตนว่ามีความรู้มาก

 ที่มา : https://www.เกร็ดความรู้.net/สำนวนไทย-สุภาษิตและคำพังเพยน่ารู้/

สาระน่ารู้

7 พัฒนาการมหัศจรรย์จากการอ่าน

การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เป็นการอ่านที่มีประสิทธิภาพ เด็กจะค่อย ๆ เรียนรู้ เลียนแบบและสะสมความรู้เสริมสร้างพัฒนาการไปทีละเล็กละน้อย และยึดเป็นแนวทางการปฏิบัติเมื่อถึงวัยที่เติบโตขึ้น

            ความสำคัญของการอ่านมีผลต่อการพัฒนา “ทรัพยากรณ์มนุษย์” โดยเด็กที่กำลังจะเติบโตเป็นกำลังของชาตินั้น อยู่บนความคาดหวังของผู้ปกครอง นั่นหมายถึงการเป็นคนดีของสังคม และสามารถอ่านออกเขียนได้  ซึ่ง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ให้ความสำคัญในเรื่องของการอ่าน เพราะการอ่านนั้นเป็นการปูพื้นฐานการเป็นพลเมืองที่ดี เพิ่มขีดความสามารถให้คนไทย ซึ่งเป็นข้อสำคัญของการกำหนดทิศทางของอนาคตได้

ทำไมต้องอ่านหนังสือ

            ตั้งแต่ช่วงเด็กปฐมวัย จะมีอัตราการเจริญเติบโตของสมองสูงสุด หากเด็กได้รับการกระตุ้นให้ก้านสมองแตกยอด จะเกิดการพัฒนาอย่างเหมาะสมตามวัย เสริมสร้างสมรรถนะที่เกิดขึ้นเองทั้งทางธรรมชาติ และการเรียนรู้ผ่านการฟัง และการอ่านจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการพัฒนาสมองมนุษย์ การอ่านไม่ใช่แค่การรอให้เด็กโตพอที่จะอ่านหนังสือได้เท่านั้น แท้จริงแล้วสำหรับการอ่าน พ่อแม่สามารถอ่านหนังสือให้ลูกฟังได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างทั้ง 7 พัฒนาการ ดังนี้

            1. ด้านภาษา เด็กจะสะสมคลังคำไว้ในสมอง เพื่อให้เลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม

            2. ด้านการคิดและสติปัญญา หนังสือภาพทำให้จำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และช่วยจัดระบบความคิด

            3. ด้านอารมณ์ เด็กเรียนรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร ทำให้ฝึกควบคุมอารมณ์ ปฎิบัติตนตามกฏกติกา

            4. ด้านสังคม เสริมทักษะการแก้ปัญหาที่เห็นคุณค่าความแตกต่างระหว่างบุคคล เคารพการอยู่ร่วมกัน

            5. ด้านจริยธรรม หนังสือภาพแสดงตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ทำให้เด็กไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ไม่ทำร้ายตนเองและผู้อื่น รู้ว่าอะไรถูกผิด

            6. ด้านจินตนาการและการสร้างสรรค์ ภาพและคำจากหนังสือช่วยสร้างจินตนาการและต่อยอดความคิดสร้างสรรค์

            7. ด้านการเคลื่อนไหวและสุขภาวะทางกาย หนังสือภาพช่วยออกแบบการเคลื่อนไหว สร้างการรับรู้ให้เด็กทำตามอย่างสนุกสนาน

ทั้งนี้ พ่อแม่สามารถสร้างลูกให้เป็นนักอ่านได้ โดยเริ่มจากการพูดคุยกับลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และส่งความอบอุ่นผ่านการสัมผัสของแม่ และอ่านหนังสือให้ลูกฟังทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 เล่ม อาจเป็นเรื่องซ้ำ ๆ หรือเรื่องสั้น ๆ ที่สร้างความสุข และมีคำที่ไพเราะ เท่านี้ลูกน้อยจะได้รับพัฒนาการที่ดีตั้งแต่อยู่ในครรภ์

แนวปฏิบัติของพ่อแม่ ที่ช่วยเป็นแบบอย่างให้ลูก มีดังนี้

            1. เลือกหนังสือที่มีเนื้อหาสร้างสรรค์ เหมาะกับวัยของเด็ก

            2. อุ้ม กอด นั่งตัก แล้วค่อย ๆ อ่านหนังสือให้ลูกฟัง

            3. อ่านหนังสือให้เด็ก ใส่ใจกับทุกคำถามของเด็ก

            4. ชวนลูกอ่านหนังสือ เล่านิทาน พูดคุยกัน

            5. สร้างสรรค์กิจกรรมหลังการอ่านเพื่อกระตุ้นให้มีการเรียนรู้ ได้ยินสำเนียงที่อ่อนโยนของพ่อแม่

            6. สร้างวินัยในการอ่าน สร้างความเคยชิน แต่ไม่ควรยัดเยียดจนเกิดความอึดอัด

            7. ติดตามเรื่องราวข่าวสารการอบรมให้ความรู้ เรื่องการใช้หนังสือเพื่อการพัฒนาของเด็ก

การอ่านนอกจากจะเสริมสร้างพัฒนาการของลูกแล้ว ยังช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันง่ายขึ้น ส่งต่อไปถึงในอนาคตของเด็ก สร้างอาชีพ สร้างรายได้ มีประสบการณ์ชีวิต และทันยุคสมัย ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/49687-7พัฒนาการมหัศจรรย์จากการอ่าน.html

มุมธรรมะ

           นาภาสมาเน ชานนฺติ พาเลหิ ปณฺฑิตํ   อ่านว่า   นาภาสะมาเน ชานันติ พาเลหิ ปันดิตัง

                                                                       แปลว่า   คนเราเมื่อยังไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้ว่าโง่หรือฉลาด

 

 ที่มา : https://news.ch7.com/proverb/21/พุทธศาสนสุภาษิต.html

 มุมสุขภาพ

จะเป็นอย่างไร เมื่อเรา “ติดเค็ม”

            อาหารรสเค็มมีอยู่รอบตัวคนไทย จะเห็นได้ว่าบรรดาอาหารต่าง ๆ โดยเฉพาะอาหารปรุงสำเร็จที่เราสั่งมารับประทานแทบทุกชนิดล้วนมีส่วนประกอบของโซเดียมและเครื่องปรุงแต่ละอย่างก็มีสัดส่วนของโซเดียมอยู่ไม่น้อย ดังนั้น เมื่ออาหารที่มีโซเดียมอยู่แล้วมาผนวกรวมเข้ากับนิสัย “ติดการปรุง” แบบหนักมือ จึงทำให้หลาย ๆ คนเผลอบริโภคโซเดียมในปริมาณที่เกินพอดี และเพราะเหตุนี้ เมื่อเกิดการสะสมก็ส่งผลร้าย ต่อร่างกายจะเป็นอย่างไรเมื่อเรา “ติดเค็ม” วันนี้ทีมเว็บไซต์ สสส. มีประสบการณ์จริงจากคนที่ติดเค็มมาฝากกันค่ะ เขาเป็นดารานักแสดงที่หลายคนคุ้นเคยเป็นอย่างดีคือ คุณผัดไทย หรือดีใจ ดีดีดี ที่ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ในการประชุมหารือการทำงานร่วมกับสื่อมวลชน เรื่อง ‘แนวทางลดพฤติกรรมติดเค็มของคนไทย’ ที่จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ องค์การอนามัยโลก (ประเทศไทย) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และเครือข่ายลดการบริโภคเค็ม

‘คุณผัดไทย’ เล่าจุดเริ่มต้นของการกินเค็มว่า เกิดขึ้นตั้งแต่เด็กเพราะเติบโตมาในร้านขายของชำ ทำให้กินขนมจุกจิกได้ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (ซองเล็ก) ที่แกะกินแบบไม่ใส่น้ำร้อนและกินมากสุดกว่า 20 ซองต่อวัน ขณะที่คนสมัยก่อนไม่ได้ใส่ใจเรื่องสุขภาพจึงไม่ได้ตักเตือนลูกหลาน และใช้ชีวิตกับการกินเค็มมาจนถึงตอนโต เกิดเป็นนิสัยติดเค็มที่อาหารทุกอย่างต้องปรุงรสเค็ม เช่น โจ๊กต้องเติมซีอิ๊วขาวทุกครั้งมากกว่า 1 ช้อนโต๊ะ เป็นต้น

ผลของความเคยชินที่คิดเพียงว่ากินแล้วอร่อยเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อช่วงอายุวัย 27 ปี ที่เกิดภาวะไตอักเสบเฉียบพลันจนต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ยังไม่ได้ทำให้ตระหนักว่าต้องเปลี่ยนแปลง และคิดเพียงว่าอาจเป็นเพราะอายุยังน้อย จึงละเลยการเตือนของร่างกาย ซึ่งตนก็ยังคงกิน เที่ยว และดื่มอย่างปกติ จนสุดท้ายต้องเผชิญหน้ากับ ‘โรคไต’ ที่กลายเป็นโรคประจำตัว โดยมีค่าไตอยู่ในระดับ 3 ซึ่งในปัจจุบันคุณภาพของไตอยู่ที่ 16% และหากต่ำกว่า 10% จะต้องฟอกไตหรือเปลี่ยนไต ทำให้ต้องกลับมาระมัดระวังเรื่องของอาหารการกินให้มากขึ้น และมีวินัยเพื่อป้องกันไม่ให้ค่าไตขึ้นไปถึงระดับ 4 หรือระดับ 5

“การเปลี่ยนแปลงและควบคุมการกินจะช่วยชะลอการฟอกไตไปได้ถึง 14 ปี” คุณผัดไทยเล่าว่า การลดการกินเค็ม ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย แม้ว่าในช่วงระยะแรกจะรู้สึกไม่ชิน แต่พอทำอย่างต่อเนื่องร่างกายจะปรับตัวได้ หากใครที่กำลังเผชิญอยู่กับโรคไตจะรู้ดีว่าการพยายามปรับพฤติกรรม แม้ว่าจะยาก แต่ก็คุ้มที่จะทำมากกว่าการต้องไปฟอกไต เพราะความอร่อยเป็นเพียงความสุขชั่วขณะ หากเรากินอย่างพอดีจะไม่เกิดโทษ แต่หากกินมากเกินไปสิ่งที่ตามมาจะส่งผลต่อร่างกาย ดังนั้น จึงควรปรับพฤติกรรมตั้งแต่วันนี้ก่อนจะสายเกินไป

จะทำอย่างไรถึงจะหยุดติดเค็มได้  เรื่องนี้ ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม ได้แนะนำ 6 วิธีห่างไกลจากการติดเค็ม ได้แก่

1. ควรชิมก่อนปรุงทุกครั้งว่ารสชาตินั้นพอเหมาะแล้วหรือไม่ หากเพียงพอแล้วก็ไม่ควรเติมเพิ่ม เพราะอาหารส่วนใหญ่ที่ปรุงมานั้นก็มีรสชาติความเค็มหรือมีโซเดียมสูงอยู่แล้ว พอไม่ชิมแล้วปรุงเพิ่มเข้าไปก็ยิ่งทำให้ได้รับโซเดียมเพิ่มมากขึ้น

2. ลดการบริโภคอาหารแปรรูป หันมาทำอาหารรับประทานเองวันละมื้อ เน้นซื้อของสดมาทำกับข้าวเองก็จะช่วยลดปริมาณโซเดียมลงไปได้ ที่สำคัญคือ ต้องปรุงด้วยรสชาติที่อ่อนกำลังดีด้วย

3. ลดการใช้น้ำจิ้ม เพราะน้ำจิ้มถือเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้คนไทยได้รับโซเดียมสูง และอีกหนึ่งนิสัยเสียของคนไทยคือ ชอบราดน้ำจิ้มเยอะๆ หรือจิ้มน้ำจิ้มมาก ๆ ซึ่งตัวอาหารบางอย่างก็มีโซเดียมอยู่แล้ว

4. ลดการกินน้ำซุป เน้นรับประทานเฉพาะเส้นและเครื่องเคียง สามารถช่วยลดปริมาณโซเดียมที่จะได้รับในแต่ละวันลงไปได้ ซึ่งน้ำซุปมีการเติมซอสปรุงรส หรือผงปรุงรสลงไป ซึ่งถือว่ามีโซเดียมปริมาณสูงมาก

5. ลดการกินน้ำปรุง ก็จะช่วยลดโซเดียมลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะอาหารประเภทยำ ส้มตำ ถือเป็นอาหารจานโปรดของคนไทยจำนวนมาก ซึ่งน้ำยำหรือน้ำส้มตำมีการเติมผงปรุงรสที่มีโซเดียมสูง 

6. ลดความถี่ในการกินอาหารที่มีส่วนประกอบของไตปลา ปลาร้า พริกแกง และกะปิ อันเป็นเครื่องปรุงที่คนไทยชอบกิน ซึ่งวิธีในการทำอาหารทั้ง 4 อย่าง ทำให้มีโซเดียมผสมอยู่แล้ว และหากมีการปรุงรสเพิ่มเข้าไปอีก ก็ยิ่งได้โซเดียมจากสารปรุงรสเข้าไป

            การลดเค็มเพื่อสุขภาพเป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เช่น สหราชอาณาจักร เป็นประเทศให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างเข้มข้น เช่น ติดตามควบคุมกำกับการรณรงค์ การสร้างความร่วมมือกับอุตสาหกรรมในการปรับลดสูตรอาหาร ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยการบริโภคโซเดียมของประชากรลดลงกว่า 15% ขณะเดียวกันประเทศไทยได้มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องโดยล่าสุด สสส. ได้จัดแคมเปญ Less Spoon : ช้อน ปรุง ลด ร่วมกับทาง CJ WORX จัดทำสื่อนำเสนอเพื่อให้คนไทยตระหนักในการปรุงโซเดียม ทั้งเกลือ และน้ำปลา โดยจัดทำเป็นช้อนที่มีรูตรงกลาง แต่จะตักได้แค่เฉพาะปลายช้อน ซึ่งตรงตามปริมาณที่ควรบริโภค ทำให้เกิดภาพจำของปริมาณโซเดียมในช้อนของผู้บริโภค และเป็นแคมเปญที่ได้รับความสนใจอย่างมาก

พฤติกรรมการกินของแต่ละบุคคลมีส่วนสัมพันธ์กับสุขภาพอย่างยิ่ง การที่คนเราจะมีสุขภาพแข็งแรง หรือเจ็บป่วยบ่อย ส่วนใหญ่มีผลสืบเนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคของบุคคลนั้น ๆ การกินอย่างพอดี จึงเป็นคำตอบของสุขภาพที่ดี

ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/48570-จะเป็นอย่างไรเมื่อเราติดเค็ม.html

เกมส์ลับสมอง ประลองปัญญา

 เกมส์ จตุรัสเลข 1-9

            ในตารางตัวเลขนี้มีสี่เหลี่ยมจัตุรัสตัวเลขขนาด 3 × 3 จำนวน ซ่อนอยู่ 9 ตาราง ตารางเหล่านี้ประกอบด้วยตัวเลข 1-9 โดยตัวเลขที่ปรากฏในตารางจะไม่ซ้ำกันเลย


ตัวอย่าง    1   5   4   3


                 8   3   7   1

                 6   9   2   4

                 4   6   5   8

หมายเหตุ  ตารางบางตารางอาจจะซ้อนกันอยู่

                        9     5     6     8     5     1     2     5     3     6     5     7

                        8     2     1     4     6     8     4     2     6     1     4     3

                        4     7     3     2     7     3     7     1     8     8     2     9

                        8     5     6     1     5     7     4     6     7     4     3     1

                        1     6     5     7     4     6     5     3     1     6     5     2

                        2     4     3     8     2     3     8     2     9     7     6     7

                        7     9     2     1     5     7     1     5     4     3     1     4

                        8     6     1     6     2     8     4     2     2     5     8     2

                        3     4     7     4     9     3     8     9     3     5     6     3

                        7     4     1     7     3     6     5     1     6     1     4     7

                        8     5     2     8     5     7     2     4     8     2     5     8

 

                        9     6     3     4     6     1     4     3     7     3     6     9

 ปีที่ 18 ฉบับที่ 4 เดือน กันยายน  พ.ศ.2562

ทักทายกันหน่อย

            สวัสดีค่ะท่านผู้ปกครองและนักเรียนทุกคน แย้มสานสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับสุดท้ายของภาคเรียนนี้แล้วนะคะ ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ เช่นเคยค่ะ แย้มสานฯฉบับนี้มีสาระน่ารู้ดีๆ ที่น่าสนใจมาฝากกันเหมือนเดิมค่ะ

********************************************************************************************************

ข่าววิชาการ

            ทางโรงเรียนได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันทางวิชาการต่างๆ ดังนี้

            1. ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันการแสดงวิทยาศาสตร์ ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562  ผลการแข่งขันพลาดรางวัลการแข่งขัน

            2. ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันทักษะวิชาการในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ณ โรงเรียนปากท่อพิทยาคม อ.ปากท่อ จ. ราชบุรี เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ผลการแข่งขันมีดังนี้

            2.1 ได้รับรางวัลชนะเลิศ จากการตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ ได้แก่

                    1. ด.ญ. พราวพิชชา          ไชยภูมิสกุล        ป.6/1

                    2. ด.ญ. น้ำเพชร              สาตร์เวช            ป.6/1

         2.2 ได้รับรางวัลรองชนะเลิศจากโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ถ่านอัดแท่งจากไม้ไอศกรีม ได้แก่

 

                    1. ด.ช. ภควรรษ               กลิ่นหอม           ป.4/1

                    2. ด.ช. ภูธิษ                    สุธาพจน์            ป.4/2

                    3. ด.ญ. ระพีพรรณ           เพียงพานิช        ป.5/2

            3. ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันเศรษฐศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ผลการแข่งขัน พลาดรางวัล

            4. ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันวิทยาศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ผลการแข่งขัน พลาดรางวัล

 กิจกรรมประจำเดือนกันยายน-ตุลาคม

            7 กันยายน 2562                          กิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษอนุบาล 1

            18-19 กันยายน 2562                   กิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์อนุบาล 1-3

            24 กันยายน 2562                        กิจกรรมแข่งขันต่อไม้บล็อค

            26-30 กันยายน 2562                   สอบปลายภาคเรียน 1 อนุบาล 2-3

            1-2 ตุลาคม 2562                         สอบปลายภาคเรียน 1 ประถม 1-6

            1 ตุลาคม 2562                            กิจกรรมทัศนศึกษาอนุบาล 1

            2 ตุลาคม 2562                            กิจกรรมทัศนศึกษาอนุบาล 2

            3 ตุลาคม 2562                            กิจกรรมค่ายรักการอ่าน ป.1-2

            4 ตุลาคม 2562                            กิจกรรมค่ายคณิตศาสตร์ ป.4

            7 ตุลาคม 2562                            กิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษ ป.3

            8 ตุลาคม 2562                            กิจกรรมค่ายสิ่งแวดล้อม ป.2

            9 ตุลาคม 2562                            กิจกรรมค่ายคอมพิวเตอร์ ระดับ ป.4-5 จำนวน 40คน

            10-11 ตุลาคม 2562                      กิจกรรมอยู่ค่ายพักแรมลูกเสือ-เนตรนารี ป.3

            18 ตุลาคม 2562                          ประกาศผลสอบปลายภาคเรียน 1 อ. – ป.6

 

            ผู้ปกครองสามารถชมภาพกิจกรรมเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ของโรงเรียน  WWW.YAMVITAYACARN.COM

สำนวนไทยน่ารู้

            กรวดน้ำคว่ำขัน  หมายความว่า     การตัดขาดไม่ขอเกี่ยวข้องด้วย เลิกไม่คบหาสมาคมกันต่อไป 

ที่มา : https://www.wordyguru.com/a/สำนวนไทย

สาระน่ารู้

ปลา อาหารป้องกันโรคหัวใจ

            ทั่วโลกมีปลาประมาณ 2 หมื่นกว่าชนิด และปลาเป็นสัตว์ที่มีมากที่สุดในบรรดาสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังทั้งหลาย ปลามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าในมหาสมุทร ทะเล แม่น้ำ ลำคลอง ธารน้ำ หนอง หรือบึง ถ้าจะพูดรวบรัดเอาก็คงพูดได้ว่า มีน้ำที่ไหนก็มีปลาที่นั่น

            ปลามีขนาด รูปร่าง สัณฐานที่แตกต่างกันมากมาย เหตุที่ปลามีจำนวนมากมายเพราะความสามารถวางไข่ของปลานั่นเอง คือ ปลาตัวหนึ่งมีความสามารถในการวางไข่ในแต่ละครั้งตั้งแต่หลายแสนใบไปถึงหลายพันล้านใบ แต่เนื่องจากภัยจากสัตว์อื่นๆรอบตัว ไข่ปลาจะถูกทำลายไปครั้งละมากๆ จึงทำให้จำนวนที่รอดมามีอยู่เป็นจำนวนน้อย แม้ปลาจะมีมากมายหลายหมื่นชนิด แต่ถ้าแบ่งเป็นพวกแล้ว ก็แบ่งได้เป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ ปลาน้ำจืดและปลาน้ำเค็ม

            เมื่อเทียบกับเนื้อวัว หมู และไก่แล้ว ปลาจะมีปริมาณโปรตีนที่สูงกว่าและมนุษย์สามารถดูดซึมได้ถึง 96% เนื้อปลามีส่วนประกอบทางเคมีใกล้เคียงกับเนื้อของมนุษย์มาก เนื้อปลามีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสมากกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น โดยเฉพาะในปลาทะเลจะมีไอโอดีน เนื้อปลายังมีวิตามิน A, B1 , B12 และ D อีกด้วย

 

            ในอาหารจำพวกเนื้อ เนื้อปลาเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายที่สุด หลังจากปรุงแล้วจะสูญเสียน้ำไป 10-30% เมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่นแล้วจะน้อยกว่ามาก (ประมาณ 50%)ดังนั้น เนื้อปลาจึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารของผู้ป่วย คนชรา หรือเด็ก

            โดยทั่วไปเนื้อสัตว์อื่นๆ จะมีไขมันสัตว์และโคเลสเตอรอลมาก ถ้ากินเนื้อสัตว์มากจะทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดได้ง่าย เช่น หลอดเลือดแข็งตัว       โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น

            ชาวเอสกิโมนั้น มีชีวิตอยู่ในแถบอากาศหนาวเย็นมีน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี ตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ชาวเอสกิโมกินปลาเป็นอาหารหลัก

            ผลการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ พบว่า ชาวเอสกิโมเป็นชนชาติที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและเบาหวานน้อยที่สุด นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะผลจากการกินเนื้อปลานั่นเอง นอกจากนี้ยังมีรายงานจากจีนและญี่ปุ่นในทำนองเดียวกันนี้คือ ชาวประมงที่กินปลาเป็นประจำมาหลายชั่วอายุคนจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในอัตราต่ำ

          ทำไมเนื้อปลาจึงแตกต่างจากไปจากเนื้อสัตว์อื่น การศึกษาวิจัยพบว่า เป็นผลเนื่องมาจากไขมันในสัตว์อื่นส่วนมากเป็นไขมันอิ่มตัว (Saturated fat) และกรดไขมัน (fatty acid) เป็นเหตุคือทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ดังนั้น การกินเนื้อสัตว์เป็นประจำจะทำให้เกิดโรคหัวใจโคโรนารีได้ง่าย แต่ในเนื้อปลามีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว (Unsaturated fat) หลายชนิดมากกว่า 80% กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวเหล่านี้สามารถลดโคเลสเตอรอลได้ ดังนั้น จึงไม่ทำให้เกิดโรคหัวใจโคโรนารี

            ตั้งแต่โบราณกาล ปลาได้ถูกนำมาใช้เป็นอาหารและยา น้ำมันตับปลานั้นสกัดมาจากตับของปลา ในน้ำมันตับปลามีวิตามิน และ เป็นจำนวนมาก

            นอกจากนี้ในน้ำมันตับปลายังมีวิตามินB1, B2 และ B12 อีกด้วย ปลาบางชนิดสามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำอินซูลิน ซึ่งเป็นยาที่สำคัญในการรักษาโรคเบาหวาน

            ข้อควรระวัง ในการกินเนื้อปลา พยาธิในปลาน้ำจืดมักพบอยู่เสมอ ดังนั้นในการปรุงจะต้องปรุงให้สุกก่อนจึงจะกินเสมอ

ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/49635-ปลา อาหารป้องกันโรคหัวใจ.html

มุมธรรมะ            

        กปฺปากปฺเปสุ กุสโล          อ่านว่า   กัปปากัปเปสุ กุสะโล       

                                                แปลว่า   พึงเป็นผู้ฉลาดในสิ่งที่ควรและไม่ควร

 ที่มา: https://news.ch7.com/proverb/21/พุทธศาสนสุภาษิต.html

 มุมสุขภาพ

 2 : 1 : 1 รหัสพิชิตโรค

            ต้องยอมรับว่า เรื่องอาหารการกิน กลายเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว วันนี้จะกินอะไรดี ” กลายเป็นคำถามที่มักจะถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง แทบจะทุกมื้ออาหารก็ว่าได้

            ถ้าให้ทาย เช้านี้ คงจะเป็นข้าวเหนียวหมูปิ้งกลิ่นเย้ายวนใจ  มื้อเที่ยงก็คงหนีไม่พ้นกะเพราหมูสับไข่ดาว ที่มีวิญญาณผักบวกกับไข่ดาวน้ำมันเยิ้มๆ มื้อเย็นก็คงเป็นข้าวขาหมูราดน้ำหวานๆ เนื้อหมูติดหนัง ฟินๆ เป็นแน่

            แต่รู้หรือไม่ว่า อาหารเหล่านี้ มักแฝงมาด้วยโรคภัยต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อย่างโรค ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ เป็นต้น โดยในปี 2560 ประเทศไทย มีอัตราการเสียชีวิตที่เกิดจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังถึง 75% ของการเสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นปัจจัยสำคัญที่เกิดจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมประจำวัน

             หากคุณไม่อยากให้กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมาทักทาย วันนี้ทีมเว็บไซต์ สสส. มีเคล็ดลับการเลือกบริโภคอาหาร ตามสูตร 2 : 1 : 1 มาฝากกันค่ะ

2 : 1 : 1 คืออะไร

 

            2 : 1 : 1 เป็นการกำหนดปริมาณอาหารที่เหมาะสม โดยการแบ่งสัดส่วนของจาน (เส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 9 นิ้ว) ออกเป็น 4 ส่วน เท่าๆ กัน และแบ่งประเภทอาหารที่จะใส่

 ลงไปในจานเป็นผัก 2 ส่วน ข้าวหรือแป้ง 1 ส่วน และเนื้อสัตว์ 1 ส่วน ผัก 2 ส่วน - ผักสด หรือผักสุกทุกชนิด โดยเลือกประเภทของผัก ให้หลากหลาย

            ข้าว 1 ส่วน - ควรเลือกข้าวที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท และธัญพืช เช่น ลูกเดือย

            เนื้อ ส่วน - ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ไม่ติดหนัง ปลาหรือไข่ ถั่วเหลือง เต้าหู้ โปรตีนเกษตร

เมื่อรู้แล้วว่า สูตร 2 : 1 : 1 ได้แก่ ผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน และ เนื้อ 1 ส่วน แต่ถึงกระนั้น การเลือกวัตถุดิบและกรรมวิธีในการประกอบอาหารให้ได้ อาหาร 1 จาน ก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยมีเคล็ดลับการเลือก ดังนี้

            1. เลือกประเภทของผักให้หลากหลาย เลือกผักที่ปลอดภัยและล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน

            2. การปรุงอาหาร ควรเลือกวิธีการนึ่ง อบ ลวก ต้ม ตุ๋น พยายามลดหรือหลีกเลี่ยงการปรุงประกอบอาหารที่ใช้กะทิ หรือน้ำมัน นั่นคือ ไม่ผัด ไม่ทอด ไม่มัน

            3. ควรลดการปรุงอาหารรสชาติจัด เพื่อเลี่ยงความหวาน มัน และเค็ม

            4. ปริมาณที่ควรรับประทาน คือ หนึ่งมื้อ หนึ่งจาน หรือชาม

            5. ควรรับประทานผลไม้เป็นอาหารว่าง 1-2 มื้อ ต่อวัน โดยเลือกผลไม้หวานน้อย

            6. ควรดื่มนม โดยเป็นนมพร่องมันเนย หรือนมขาดมันเนย โยเกิร์ตพร่องมันเนย และขาดมันเนยรสธรรมชาติ หรือ นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมชนิดไม่ใส่น้ำตาล

            7. ควรเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลาย

2 : 1 : 1 ทำได้ไม่ยาก

            สาเหตุที่หลายคนเลือกกินอาหารจานด่วนอย่างที่กล่าวข้างต้นไปนั้น เหตุผลง่ายๆ ก็คือ สะดวกและรวดเร็ว ครั้นจะพิถีพิถัน ให้ตรงตามสูตรเป๊ะๆ ก็ยากอยู่พอสมควร แต่ความจริงแล้ว 2 : 1 : 1 ทำได้ไม่ยาก แถมยังเปลี่ยนให้อาหารจานเสี่ยงเป็นอาหารจานสร้างสุขภาพได้ง่ายๆ อีกด้วย

1. อาหารตามสั่ง เลือกเมนูที่มีผักเยอะๆ ใช้น้ำมันน้อยๆ เช่น สุกี้น้ำ แต่น้ำจิ้มน้อยๆ ราดหน้าก็เน้นคะน้า พวกผัดผักตอนจะกินให้ตักผักแบบไม่เอาน้ำที่มันๆ หรือจะเลือกเพิ่มผักในเมนูต่างๆ อย่างข้าวกะเพราขอใส่ผัก ถั่วฝักยาว แครอท ข้าวโพด หรือจะกินคู่กับแกงจืดเต้าหู้ผักกาดขาวก็ยังได้ เทคนิคเพิ่มเติมคือ เลี่ยงหมูสามชั้น เปลี่ยนไข่เจียว หรือไข่ดาวเป็นไข่ต้ม เลือกหมูชิ้นแทนหมูสับ

            2. ก๋วยเตี๋ยว ปริมาณเส้นประมาณ 1 ทัพพี ลูกชิ้นไม่เกิน 5-6 ลูก หรือถ้าเป็นหมูสับก็ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ พูดง่ายๆ ว่าเส้นน้อยๆ เน้นผักบุ้ง ถั่วงอกเยอะๆ สำคัญตรงที่อย่าลืมบอกคนขายงดใส่น้ำมันกระเทียมเจียวด้วย ให้ดีไม่ต้องปรุงเพิ่ม เพื่อลดหวาน ลดเค็ม

            3. ข้าวแกง ข้าวไม่เกิน 2-3 ทัพพี แล้วเลือกกับข้าวที่มีผักและปรุงโดยใช้น้ำมันน้อย หลีกเลี่ยงเมนูที่มีน้ำราด ประเภทข้นๆ หวานๆ เหนียวๆ หรือสั่งรายการนั้นโดย ไม่เอาน้ำราดและเน้นขอผักเพิ่มด้วยจ้า

            4. ปรุงอาหารในบ้าน เลือกผักมาเป็นส่วนประกอบหลักในการทำอาหารเมนูต่างๆ หรือจัดเตรียมให้มีผักสด ผักต้ม เพิ่มบนโต๊ะอาหาร เน้นปรุงอาหารด้วยวิธีนึ่ง ยำ ลวก ต้ม ตุ๋น แทนเมนูทอด เมนูแกงกะทิ หรือเมนูที่ใช้น้ำมันมากๆ

            5. อาหารจานเดียว ถ้าชอบข้าวขาหมูก็ลดข้าวลง เลือกเอาเนื้อล้วนไม่ติดมัน ราดน้ำน้อยๆ คะน้าเยอะๆ สำหรับข้าวมันไก่ก็ไม่เอาหนังและจะดีกว่าถ้าเปลี่ยนข้าวมันเป็นข้าวสวยธรรมดา

            6. เครื่องดื่ม เครื่องดื่มหวานๆ ต้องค่อยๆ ปรับพฤติกรรม เริ่มจากขอหวานน้อย ใส่น้ำเชื่อมหรือน้ำตาลน้อยๆ รวมทั้งอาจจะเปลี่ยนครีมเทียมเป็นนมพร่องมันเนย นมขาดมันเนย นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมและต้องค่อยๆ ลดความถี่ต่อสัปดาห์ลง เช่น จากวันละ 1-2 แก้ว ปรับเป็นสัปดาห์ละ 1-2 แก้ว ซึ่งถ้าเป็นไปได้ สุดท้ายควรต้องดื่มแต่น้ำเปล่าให้ได้ วันละ 6-8 แก้ว จะดีที่สุด

            7. ของว่าง เปลี่ยนจากขนมหวาน เบเกอรี่ ไอศกรีม เป็นผลไม้หวานน้อย

 

            นอกจากรับประทานอาหารแล้ว การมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดี เชิญชวนให้ทุกคนหันมาดูแลสุขภาพ เริ่มที่อาหารการกิน โดยกินตามสูตร 2 : 1 : 1 และสูตร 6 : 6 : 1 ได้แก่ น้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา น้ำมันไม่เกิน ช้อนชา และเกลือไม่เกิน ช้อนชา เพียงเท่านี้ ก็สามารถทำให้ห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง แถมยังช่วยให้ลดพุง ลดโรค อีกด้วย

ที่มา https://www.thaihealth.or.th/Content/49943-2:1:1 รหัสพิชิตโรค.html

  เกมส์ลับสมอง ประลองปัญญา

  กติกา : ให้นักเรียนอ่านความหมายของสำนวนไทยที่ให้ไปแล้วตอบให้ถูกต้อง

 1. ผู้มีความรู้และประสบการณ์น้อย แต่สำคัญตนว่ามีความรู้มาก         

            ..................................................……………………………

2. คนเนรคุณให้อาศัยพึ่งพิง แล้วยังก่อความเดือดร้อนให้อีก

            ..............................................................................................

3. ทำงานขึ้นมาสักอย่าง แล้วกลับทำลายในภายหลัง

            ..............................................................................................

4. แนะนำหรือบอกเป็นให้ผู้อื่นเห็นช่องทางทำผิด หรือเอาประโยชน์ไป

            ..............................................................................................

5. การได้ยินได้ฟังจากผู้อื่นหลายๆคน ก็ไม่เท่ากับพบเห็นด้วยตนเอง

            ..............................................................................................

 ปีที่ 18 ฉบับที่ 5 เดือน พฤศจิกายน  พ.ศ.2562

ทักทายกันหน่อย

            สวัสดีค่ะท่านผู้ปกครองและนักเรียนทุกคน แย้มสานสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับแรกของภาคเรียนที่ 2  ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ เช่นเคยค่ะ แย้มสานฯฉบับนี้มีสาระน่ารู้ดีๆ ที่น่าสนใจมาฝากกันเหมือนเดิมค่ะ ก่อนอื่นขอแนะนำคุณครูคนใหม่ของเราจำนวน 5 ท่าน มีดังนี้ค่ะ

            1. นางสาวอชิรญา           สังข์แก้ว             ครูสอนภาษาไทย ป.3

            2. นางสาวมาลินี              กล่ำงิ้ว               ครูสอนภาษาไทย ป.2

            3. นางสาวศิริพร              นาคงาม             ครูพี่เลี้ยงห้องอนุบาล 3/2 

            4. นางสาวมาริษา             ฟักเขียว             ครูพี่เลี้ยงห้องเตรียมอนุบาล

            5. นางสาวยุพาวรรณ        เกิดทรัพย์           ครูพี่เลี้ยงห้องอนุบาล 3/1

ข่าววิชาการ

            ทางโรงเรียนได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันทางวิชาการต่างๆ ดังนี้

1. เข้าร่วมการแข่งขันชิงแชมป์การคิดและการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ปีการศึกษา 2562 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2562 ผลการสอบมีดังนี้

            1. เด็กชายณกรณ์   สฤกพฤกษ์    ได้รับรางวัลเหรียญทองแดง   ระดับชั้น ป.1-2

            2. เด็กชายรเมศ   บำรุงเชาว์เกษม   ได้รับรางวัลชมเชย  ระดับชั้น ป.3-4

 

            3. เด็กหญิงกิตญาดา  ศรีสิทธิพร     ได้รับรางวัลชมเชย  ระดับชั้น ป.5-6

            2. เข้าร่วมการแข่งขันศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับกลุ่มเครือข่าย ณ โรงเรียนเจี้ยไช้ เมื่อวันที่ 7-9 ตุลาคม พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา ผลการแข่งขันมีดังนี้ 

ที่

รายการแข่งขัน

อันดับ

เหรียญ

ชื่อ-นามสกุล

 

กล่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

 

 

 

1.

การแข่งขันคัดลายมือสื่อภาษาไทย ป.1-ป.3

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิง วิสาขา   ปัจฉา

2.

การแข่งขันคัดลายมือสื่อภาษาไทย ป.4-ป.6

6

เงิน

1. เด็กหญิงพัชรดา  วังบุญคง

3.

การแข่งขันเรียงร้อยถ้อยความ (การเขียนเรื่องจากภาพ) ป.1-ป.3

2

ทอง

1. เด็กหญิงวรดา  ดอนเดือนไพร

 

4.

การแข่งขันเรียงร้อยถ้อยความ (การเขียนเรียงความ) ป.4-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิงณัฏฐณิชา  จังพานิช

 

5.

การแข่งขันกวีเยาวชนคนรุ่นใหม่ กลอนสี่ (๔ บท) ป.4-ป.6

2

ทอง

1. เด็กหญิงปุญญาภา   โสดจำปา

2. เด็กหญิงเปรมิกา   นำเจริญลาภ

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์

 

 

 

6.

การแข่งขันอัจฉริยภาพทางคณิตศาสตร์ ป.1-ป.3

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กชายรเมศ  บำรุงเชาว์เกษม

7.

การแข่งขันอัจฉริยภาพทางคณิตศาสตร์ ป.4-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กชายณัฐกิตติ์   โพธิ์พุทธ-

รักษา

8.

การแข่งขันสร้างสรรค์ผลงานคณิตศาสตร์โดยใช้โปรแกรม GSP ป.4-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิงชนิกานต์  ทองศาสตร์

2. เด็กหญิงศศิภัสสร  วงศ์สุวรรณ

9.

การแข่งขันคิดเลขเร็ว ป.1-ป.3

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กชายอัคพนธ์   อินบาง

10.

การแข่งขันคิดเลขเร็ว ป.4-ป.6

4

ทอง

1. เด็กชายสรรค์ชากรณ์   กาญจนประดิษฐ์

11.

การแข่งขันต่อสมการคณิตศาสตร์ (เอแม็ท) ป.1-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กชายตนุภัทร   อยู่ทอง

2. เด็กชายธนวรรธน์    มาลัย

12.

การแข่งขันซูโดกุ ป.1-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิงกิตญาดา   ศรีสิทธิพร

13.

การแข่งขันเวทคณิต ป.1-ป.3

ชนะเลิศ

ทอง

1. ด็กชายพชรพัชร์  บุญเดชชัยกุล

14.

การแข่งขันเวทคณิต ป.4-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กชายรัชพล  ศรีสำเภา

ที่

รายการแข่งขัน

อันดับ

เหรียญ

ชื่อ-นามสกุล

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

 

 

 

15.

การแข่งขันอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์

ป.4-ป.6

2

ทอง

1. เด็กหญิงน้ำเพชร  สาตร์เวช

2. เด็กหญิงพราวพิชชาไชยภูมิสกุล

3. เด็กชายอิษวัต  รัตนสิริรัตน์

16.

การประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ประเภทสิ่งประดิษฐ์ ป.4-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กชายภควรรษ  กลิ่นหอม

2. เด็กชายภูธิศ   สุธาพจน์

3. เด็กหญิงระพีพรรณ   เพียงพานิช

17.

การแข่งขันการแสดงทางวิทยาศาสตร์ (Science Show) ป.4-ป.6

 

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิงพลอยปภัส  หื่ออินทร์

2. เด็กชายอธิวัฒน์   กองเผือก

3. เด็กชายอนงค์รัตน์   ลำพอง

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาฯ

 

 

 

18.

การประกวดเพลงคุณธรรม ป.1-ป.3

2

ทอง

1.เด็กหญิงจารุพิชญา พินิจสุวศิลป์

2. เด็กชายณัฐพล  กันภัย

3. เด็กชายณัฐภัทร  รอดดอน

4. เด็กหญิงรมย์รวินท์  อินทร์เขียว

5. เด็กหญิงลลิดา   เอี่ยมจินดา

19.

การประกวดเพลงคุณธรรม ป.4-ป.6

3

ทอง

1. เด็กหญิงกัญญพัชร   ห่วงขาว

2. เด็กหญิงณัฐณิชาสัจจปัญญาพล

3. เด็กหญิงปฐมาวดี  แก้วอุย

4. เด็กหญิงมนทา  ศรีพิมลปาณี

5. เด็กหญิงมนนภา   ศรีพิมลปาณี

20.

การประกวดเล่านิทานคุณธรรม ป.1-ป.3

3

ทอง

1. เด็กหญิงจิดาภา  ไชยพันธุ์

21.

การประกวดมารยาทไทย ป.1-ป.3

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิงจอมขวัญ  เจริญธรรม

2. เด็กชายเอกราช  พุ่มเกษม

22.

การประกวดมารยาทไทย ป.4-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิงณัชชา  มาประดิษฐ์กุล

2. เด็กชายธีรเดช  อนันตศักดิ์

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา

 

 

 

23.

การแข่งขันตอบปัญหาสุขศึกษาและพลศึกษา ป.1-ป.6

2

ทอง

1. เด็กชายจิราวัฒน์   สาตเวช

2. เด็กชายธนพัฒน์   ประธานสกุล

ที่

รายการแข่งขัน

อันดับ

เหรียญ

ชื่อ-นามสกุล

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์

 

 

 

24.

การแข่งขันการวาดภาพระบายสี ป.1-ป.3

9

ทอง

1. เด็กหญิงเขมพิชญ์   วงค์อารีย์

25.

การแข่งขันการวาดภาพระบายสี ป.4-ป.6

7

ทอง

1. เด็กหญิงชัญญานุช    หอมทิพย์

26.

การแข่งขันขับร้องเพลงไทยลูกกรุง ประเภทชาย ป.1-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กชายชัยพร   ศิขรินพร

 

27.

การแข่งขันขับร้องเพลงไทยลูกกรุง ประเภทหญิง ป.1-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิงพรชัญญา  บัวโพธิ์

 

28.

การแข่งขันขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ ประเภทชาย ป.1-ป.6

3

ทอง

1. เด็กชายยศพนธ์  ภูรินทร์ปรวัฒน์

29.

การแข่งขันขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ ประเภทหญิง ป.1-ป.6

2

ทอง

1. เด็กหญิงภัคชุดา   อึ้งอัมพร

 

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ

 

 

 

30.

การแข่งขันพูดภาษาอังกฤษ (Impromptu Speech) ป.1-ป.3

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิงศิรภัสสร  ทองศาสตร์

 

31.

การแข่งขันพูดภาษาอังกฤษ (Impromptu Speech) ป.4-ป.6

2

 

1. เด็กหญิงปริณตรา  น่วมนา

 

32.

การแข่งขันต่อศัพท์ภาษาอังกฤษ (ครอสเวิร์ด) ป.1-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กชายภูริวัฒน์   อักษรอินทร์

2. เด็กชายสุรภูมิ  จันทร์เพ็ญ

 

กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

 

 

 

33.

การแข่งขันการผูกเงื่อน เดินทรงตัวและโยนบอล ป.1-ป.3

3

ทอง

1. เด็กชายคณิศร   ไตรสรณะกุล

2. เด็กชายธิติวุธ  เสียงเพราะ

3.เด็กชายนิติพัฒน์ สิทธิโชคถาวรกุล

4. เด็กชายพงศกร  คล้ายเอี่ยม

5. เด็กชายศุภณัฐ   หมีไพร

6. เด็กชายเตชิต   จูทอง

34.

การแข่งขันการทำหนังสือเล่มเล็ก

ป.4-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิงกัณยากร  ร่มโพรีย์

2. เด็กหญิงขวัญจิรา   สุวรรณ

3. เด็กหญิงสุชานันท์  พิสิษฐ์มงคล

ที่

รายการแข่งขัน

อันดับ

เหรียญ

ชื่อ-นามสกุล

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้งานอาชีพและเทคฯ

 

 

 

35.

การแข่งขันการสร้างการ์ตูนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก ป.1-ป.3

2

ทอง

1. เด็กหญิงกาญจน์กิตติญา   คงถาวร

2. เด็กหญิงจอมขวัญ   เจริญธรรม

36.

การแข่งขันการสร้างการ์ตูนเรื่องสั้น (Comic Strip) ป.4-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิงกรธีทอง  ปิงวัง

2. เด็กหญิงปุณยากร   ดีมา

37.

การแข่งขันการสร้างเกมสร้างสรรค์จากคอมพิวเตอร์ ป.4-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิงจิณณพัต    สืบมี

2. เด็กชายอภิสิทธิ์   กุลทิพย์

38.

การแข่งขันการใช้โปรแกรมนำเสนอ (Presentation) ป.4-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กชายพีรวิชญ์  ไกรกิจธนโรจน์

2. เด็กชายวิกรม   เนยน้อย

39.

การแข่งขันการสร้าง Webpage ประเภท Web Editor ป.4-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กชายจรณินท์   เนตรวิจิตร

2. เด็กชายจักกฤษ   ลิ้มภัทรจินดา

40.

การแข่งขันทำน้ำพริก ผักสด เครื่องเคียง   ป.4 - ป.6

2

ทอง

1. เด็กหญิงกาญจน์เกล้า   ดาศรี

2. เด็กหญิงจุฬาลักษณ์  ชมเชย

3. เด็กหญิงภคมน  ชุ่มชมไชย

41.

การแข่งขันแกะสลักผักผลไม้ ป.4-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิงชุตินันท์  พุกโสภา

2. เด็กหญิงญาณิศา  อาจปักษา

3. เด็กหญิงวีรดา  วีรเสนีย์

 

ปฐมวัย

 

 

 

42.

 

การปั้นดินน้ำมัน ปฐมวัย

5

ทอง

1. เด็กหญิงกัญญดา   น้อยจริง

2. เด็กหญิงชญานุศภัฒค์  ฤทธิ์เดช

3. เด็กชายพงศภัค   มูลทรัพย์

43.

การสร้างภาพด้วยการฉีก ตัด ปะ กระดาษ ปฐมวัย

4

ทอง

1. เด็กหญิง พัชรีพร  ปังพิพัฒน์

2. เด็กหญิงณัฐนรี   ชูพุทธพงษ์

3. เด็กหญิงโซฟียา  อินทรวัชระ

3. เข้าร่วมการสอบแข่งขันหน้าที่พลเมืองเพชรยอดมงกุฎ ครั้งที่ 2 ณ โรงเรียนวัดราชบพิตร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 9-10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ได้รับรางวัลดังนี้

ระดับช่วงชั้นที่ 1

               1. เด็กชายประวีร์  มะระ                ได้รับรางวัลคะแนนผ่านเกณฑ์

                2. เด็กหญิงตีรณา มุกดา                ได้รับรางวัลคะแนนผ่านเกณฑ์

ระดับช่วงชั้นที่ 2

               1. เด็กชายเอกอธิช           สุขหงส์             ได้รับรางวัลคะแนนผ่านเกณฑ์

 

            4. เข้าร่วมการแข่งขัน งานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 69 ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ปีการศึกษา 2562 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ณ โรงเรียนในสังกัด สพป.ราชบุรี เขต 2 จังหวัดราชบุรี วันที่ 4 - 11 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ผลการแข่งขันมีดังนี้

ที่

รายการแข่งขัน

อันดับ

เหรียญ

ชื่อ-นามสกุล

 

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

 

 

 

 

 

 

1.

การแข่งขันคัดลายมือสื่อภาษาไทย ป.1-ป.3

22

ทองแดง

1. เด็กหญิง วิสาขา   ปัจฉา

2.

การแข่งขันเรียงร้อยถ้อยความ (การเขียนเรียงความ) ป.4-ป.6

25

เข้าร่วม

1.เด็กหญิงณัฏฐณิชา  จังพานิช

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์

 

 

 

3.

การแข่งขันอัจฉริยภาพทางคณิตศาสตร์

ป.1-ป.3

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กชายรเมศ  บำรุงเชาว์เกษม

4.

การแข่งขันอัจฉริยภาพทางคณิตศาสตร์    ป.4-ป.6

6

เงิน

1.เด็กชายณัฐกิตติ์   โพธิ์พุทธ-

รักษา

5.

การแข่งขันสร้างสรรค์ผลงานคณิตศาสตร์โดยใช้โปรแกรม GSP ป.4-ป.6

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กหญิงชนิกานต์ ทองศาสตร์

2.เด็กหญิงศศิภัสสร วงศ์สุวรรณ

6.

การแข่งขันคิดเลขเร็ว ป.1-ป.3

2

ทองแดง

1. เด็กชายอัคพนธ์   อินบาง

7.

การแข่งขันต่อสมการคณิตศาสตร์ (เอแม็ท) ป.1-ป.6

4

ทอง

1. เด็กชายตนุภัทร   อยู่ทอง

2. เด็กชายธนวรรธน์    มาลัย

8.

การแข่งขันซูโดกุ ป.1-ป.6

3

ทอง

1. เด็กหญิงกิตญาดา   ศรีสิทธิพร

9.

การแข่งขันเวทคณิต ป.1-ป.3

ชนะเลิศ

ทอง

1. เด็กชายพชรพัชร์ บุญเดชชัยกุล

10

การแข่งขันเวทคณิต ป.4-ป.6

4

เงิน

1. เด็กชายรัชพล  ศรีสำเภา

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

 

 

 

11

การประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ประเภท

7

เงิน

1. เด็กชายภควรรษ  กลิ่นหอม

ที่

รายการแข่งขัน

อันดับ

เหรียญ

ชื่อ-นามสกุล

 

สิ่งประดิษฐ์ ป.4-ป.6

 

 

2. เด็กชายภูธิศ   สุธาพจน์

3. เด็กหญิงระพีพรรณ  เพียงพานิช

12.

การแข่งขันการแสดงทางวิทยาศาสตร์ (Science Show) ป.4-ป.6

4

ทอง

1. เด็กหญิงพลอยปภัส  หื่ออินทร์

2. เด็กชายอธิวัฒน์   กองเผือก

3. เด็กชายอนงค์รัตน์   ลำพอง

 

กลุ่มสาระการเรียนสังคมศึกษา ศาสนาฯ

 

 

 

13.

การประกวดมารยาทไทย ป.1-ป.3

7

ทอง

1. เด็กหญิงจอมขวัญ   เจริญธรรม

2. เด็กชายเอกราช   พุ่มเกษม

14.

การประกวดมารยาทไทย ป.4-ป.6

5

ทอง

1. เด็กหญิงณัชชา  มาประดิษฐ์กุล

2. เด็กชายธีรเดช  อนันตศักดิ์

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์

 

 

 

15.

การแข่งขันขับร้องเพลงไทยลูกกรุง ประเภทชาย ป.1-ป.6

6

ทอง

1. เด็กชายชัยพร   ศิขรินพร

16.

การแข่งขันขับร้องเพลงไทยลูกกรุง ประเภทหญิง ป.1-ป.6

7

ทอง

1. เด็กหญิงพรชัญญา  บัวโพธิ์

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ

 

 

 

17.

การแข่งขันพูดภาษาอังกฤษ (Impromptu Speech) ป.1-ป.3

7

เงิน

1. เด็กหญิงศิรภัสสร  ทองศาสตร์

18.

การแข่งขันต่อศัพท์ภาษาอังกฤษ (ครอสเวิร์ด) ป.1-ป.6

10

เงิน

1. เด็กชายภูริวัฒน์   อักษรอินทร์

2. เด็กชายสุรภูมิ  จันทร์เพ็ญ

 

กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

 

 

 

19.

การแข่งขันการทำหนังสือเล่มเล็ก ป.4-ป.6

8

เงิน

1. เด็กหญิงกัณยากร  ร่มโพรีย์

2. เด็กหญิงขวัญจิรา   สุวรรณ

3. เด็กหญิงสุชานันท์  พิสิษฐ์มงคล

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคฯ

 

 

 

20.

การแข่งขันการสร้างการ์ตูนเรื่องสั้น (Comic Strip) ป.4-ป.6

2

ทอง

1. เด็กหญิงกรธีทอง   ปิงวัง

2. เด็กหญิงปุณยากร   ดีมา

21.

การแข่งขันการสร้างเกมสร้างสรรค์จากคอมพิวเตอร์ ป.4-ป.6

12

เงิน

1. เด็กหญิงจิณณพัต    สืบมี

2. เด็กชายอภิสิทธิ์   กุลทิพย์

ที่

รายการแข่งขัน

อันดับ

เหรียญ

ชื่อ-นามสกุล

22.

การแข่งขันการใช้โปรแกรมนำเสนอ (Presentation) ป.4-ป.6

9

ทอง

1. เด็กชายพีรวิชญ์   ไกรกิจธนโรจน์

2. เด็กชายวิกรม   เนยน้อย

23.

การแข่งขันการสร้าง Webpage ประเภท Web Editor ป.4-ป.6

12

เงิน

1. เด็กชายจรณินท์   เนตรวิจิตร

2. เด็กชายจักกฤษ   ลิ้มภัทรจินดา

24.

การแข่งขันแกะสลักผักผลไม้ ป.4-ป.6

3

ทอง

1. เด็กหญิงชุตินันท์  พุกโสภา

2. เด็กหญิงญาณิศา  อาจปักษา

3. เด็กหญิงวีรดา  วีรเสนีย์

หมายเหตุ : นักเรียนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับเขตพื้นที่การศึกษา ได้เป็นตัวแทนไปแข่งต่อระดับภาค

กิจกรรมประจำเดือนพฤศจิกายน

            11 พฤศจิกายน 2562                                กิจกรรมวันลอยกระทง    

            15 พฤศจิกายน 2562                                กิจกรรมภาษาไทย ระดับปฐมวัย

            ผู้ปกครองสามารถชมภาพกิจกรรมเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ของโรงเรียน  WWW.YAMVITAYACARN.COM

 สำนวนไทยน่ารู้

           ก่อร่างสร้างตัว  หมายความว่า  ทำงานหาเงินเป็นกอบเป็นกำ ตั้งเนื้อตั้งตัวได้เป็นหลักฐาน

ที่มา http://www.tewfree.com/คำสุภาษิต/

สาระน่ารู้

ผลข้างเคียงจาก การนอนตอนผมเปียก

หากใครมีพฤติกรรมชอบนอนทั้งที่ผมยังเปียกหรือชื้นอยู่ โดยที่ไม่เป่าผมให้แห้งหลังจากสระผมในตอนกลางคืน ขอแนะนำว่าให้เลิกการกระทำนั้นเสีย เพราะการนอนทั้งที่ผมยังเปียก จะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อหนังศีรษะของคุณดังต่อไปนี้

1. คันหนังศีรษะ และมีโอกาสติดเชื้อ

เมื่อเรานอนหลับในขณะที่ผมเปียก ความชื้นที่อยู่ในเส้นผมสามารถทำให้หนังศีรษะ เกิดการอักเสบและทำให้เกิดอาการคันบนหนังศีรษะได้ และหากเกิดอาการคันมากๆ จนเกาบ่อยๆ ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ และทำให้หนังศีรษะลอกและเป็นแผลได้อีกด้วย ดังนั้นหลังสระผมจึงควรเป่าผมให้แห้งทุกครั้ง

2. เป็นรังแค

การนอนตอนผมเปียกจะทำให้หนังศีรษะเกิดความชื้น เมื่อเป็นเช่นนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือปัญหารังแค เนื่องจากความชื้นจะไปกระตุ้นต่อมไขมันบนหนังศีรษะ ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากยิ่งขึ้น และเกิดการทำลายความสมดุลของหนังศีรษะ จนเป็นผลทำให้เกิดรังแค ซึ่งสาเหตุมาจากเชื้อราที่เรียกว่าเชื้อยีสต์ ปกติแล้วเชื้อราเหล่านี้จะอาศัยอยู่ที่บริเวณหนังศีรษะของเราอยู่แล้ว โดยอาศัยการกินน้ำมันที่สร้างมาจากต่อมรากผมและต่อมไขมันเป็นอาหาร เมื่อใดที่เชื้อราเหล่านี้มีการเจริญเติบโตรวดเร็วผิดปกติ จะทำให้เกิดการสร้างและผลัดเซลล์ผิวที่เร็วกว่าปกติด้วยเช่นเดียวกัน

3. ผมร่วง

 

ถ้าเป็นไปได้ไม่แนะนำให้สระผมในเวลากลางคืน หรือหากมีความจำเป็นก็ต้องเป่าผมให้แห้งก่อน เพราะถ้าสระผมแล้วไม่ไดร์ผม จะทำให้เกิดความชื้นและอาจติดเชื้อรา ซึ่งก็จะทำให้รูขุมขนอุดตันและเป็นรังแค อีกทั้งยังทำให้เส้นผมอ่อนแอ และมีโอกาสทำให้ผมหลุดร่วงได้ง่ายด้วย

4. เป็นหวัด และมีอาการปวดหัว

หากสระผมตอนกลางคืนแล้วไม่ไดร์ผมให้แห้งก่อน และถ้านอนในห้องที่มีการเปิดใช้เครื่องปรับอากาศด้วย ก็ยิ่งเสี่ยงที่จะเป็นหวัดได้ง่าย อีกทั้งการนอนหลับในขณะที่ผมเปียก ยังสามารถทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ เนื่องจากในระหว่างที่เรานอนหลับนั้น ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น เมื่อเจอกับผมในขณะเปียกซึ่งมีอุณหภูมิต่ำ สามารถทำให้เกิดอาการปวดหัวได้นั่นเอง

 

ที่มา : https://www.sanook.com/health/18709/

มุมธรรมะ

           สยํ ปุญฺญานิ ตํ อาเวณิยํ ธนํ  อ่านว่า   สะยัง ปุญญานิ ตัง อาเวณิยัง ธะนัง                

                                                        แปลว่า   ความดีที่ทำไว้นั่นแล จะเป็นทรัพย์ติดตามตน

 ที่มา : https://news.ch7.com/proverb/21/พุทธศาสนสุภาษิต.html

 มุมสุขภาพ

โรคร้ายถามหา ถ้า ดื่มน้ำน้อย

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่แทบไม่ได้ลุกออกมาจากเก้าอี้ แก้วน้ำรินน้ำเอาไว้เต็มแก้วแต่อยู่ไปได้ทั้งวัน หรือวุ่นเสียจนไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ วิ่งเข้าออกห้องประชุม ได้ดื่มน้ำเฉพาะช่วงที่ทานข้าวกลางวันเท่านั้น ขอบอกไว้เลยว่าร่างกายของคุณกำลัง ขาดน้ำ” โดยที่คุณไม่รู้ตัว และมันส่งผลร้ายถึงสุขภาพอย่างร้ายแรงโดยที่คุณก็ไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน เรามาดูกันว่า 6 โรคร้ายนั้นมีอะไรกันบ้าง

1. สมองเสื่อม 

ใครจะไปเชื่อว่าแค่ดื่มน้ำน้อย ก็เสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมได้ เพราะเมื่อร่างกายของเราขาดน้ำ ปริมาณของน้ำในร่างกายไม่เพียงพอในการเป็นส่วนหนึ่งของเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่างกาย เมื่อเลือดมีความข้นหนืดมากขึ้น ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงที่สมองได้เพียงพอ จึงเป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อมได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นหากคุณรู้สึกไม่สดชื่น เหนื่อยๆ คิดอะไรช้า ไม่กระฉับกระเฉง อึนๆ มึนๆ นั่นอาจเป็นผลมาจากแค่การ ดื่มน้ำน้อยเกินไป” ก็ได้นะ 

2. ริดสีดวงทวาร

แน่นอนที่สุดว่าหากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ส่งผลไปถึงการย่อยในกระเพาะอาหารที่ทำได้ยากลำบากมากขึ้น และลำไส้ที่แห้ง อาจทำให้เราไม่สามารถขับอุจจาระออกมาได้ เพราะอุจจาระอาจแห้งเกินไป เมื่อของเสียสะสมอยู่ในลำไส้ ลำไส้ก็จะดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายไปอีก ยิ่งทำให้เลือดมีของเสียและข้นหนืดกว่าเดิม อุจจาระก็แข็งแห้งกว่าเดิม จนเกิดเป็นอาการท้องผูก และท้ายที่สุดลงเอยด้วยโรคริดสีดวงทวารนั่นเอง

3. ปวดข้อ

เชื่อหรือไม่ว่ากระดูกอ่อนในหลายๆ ส่วนของร่างกาย รวมไปถึงหมอนรองกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญและเกิดอาการผิดปกติได้ง่าย มีส่วนประกอบเป็นน้ำมากถึง 80%  ดังนั้นหากข้อต่อหรือหมอนรองกระดูกแห้ง ไม่ชุ่มชื้นเพียงพอ อาจทำให้ข้อต่อต่างๆ ดูดซับแรงกระแทกได้ไม่ดีพอ จนเกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย หรืออาจอักเสบได้ง่ายเมื่อต้องออกแรงเดิน ยก เหวี่ยง หรือแม้แต่ตอนออกกำลังกาย และยกน้ำหนัก

4. ทางเดินปัสสาวะอักเสบ / กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

หากคุณมีอาการปวดปัสสาวะ แต่ไม่มีปัสสาวะไหลออกมา หรือไหลออกเพียงหยดสองหยด คุณอาจกำลังเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อันเนื่องมาจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ การติดเชื้อ และการกลั้นปัสสาวะนานๆ

5. อ้วน

            ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหากคุณดื่มน้ำน้อยเป็นสาเหตุที่อาจนำไปสู่โรคอ้วนได้เพราะหากคุณดื่มน้ำอย่างเพียงพอในตอนเช้า ระหว่างมื้อกลางวัน และตอนเย็น หรืออาจดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนทานอาหาร คุณจะพบว่าคุณอิ่มง่ายอิ่มเร็วกว่าการทานอาหารโดยไม่ดื่มน้ำเลย ยิ่งถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่กินจุอยู่แล้ว แล้วยิ่งไม่ดื่มน้ำอีก ด้วยความหิวหรือความอยากอาหาร คุณอาจทานเพลินจนน้ำหนักขึ้นได้ง่ายๆ

 6. ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ

ประจำเดือนของคุณผู้หญิงเป็นตัวบ่งบอกถึงสุขภาพได้ดีอีกอย่างหนึ่ง หากคุณพบว่าคุณมีประจำเดือนที่ไม่สม่ำเสมอ ขาดๆ หายๆ มีน้ำเกินไป มีสีเข้มเกินไป มาเป็นลิ่มเลือด หรือแม้กระทั่งปวดท้องประจำเดือนมาก สาเหตุสำคัญที่คุณอาจละเลยอาจมาจากการดื่มน้ำน้อยก็เป็นได้ เพราะเมื่อน้ำในร่างกายมีปริมาณไม่เพียงพอ ร่างกายจึงไม่สามารถนำน้ำไปสร้างเป็นประจำเดือนได้นั่นเอง

3 สัญญาณของคนดื่มน้ำน้อย

หากไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นคนดื่มน้ำน้อยหรือไม่ ให้สังเกตได้จาก

1. ปัสสาวะไม่ถึง 4-7 ครั้งต่อวัน

2. ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มแทบทุกครั้ง

3. ปัสสาวะมีกลิ่นฉุนจัด

แค่ดื่มน้ำน้อยก็ส่งผลเสียถึงร่างกายได้มากมายขนาดนี้ นี่ยังไม่รวมถึงผลเสียด้านผิวพรรณที่หย่อนคล้อย หมองคล้ำ ผิวแห้ง ตาแห้ง และดูแก่กว่าวัยอีก

 เพราะฉะนั้นหากใครมีอาการตามสัญญาณของคนดื่มน้ำน้อยดังกล่าว ควรดื่มน้ำเพิ่มขึ้นให้ได้ราวๆ 1,500-2,000 มิลลิลิตรต่อวัน หรือ 6-8 แก้วต่อวัน หรือถ้ากลัวลืมก็เอาขวดลิตรมาตั้งไว้บนโต๊ะ 1 ขวด แล้วเตือนตัวเองว่าต้องดื่มให้หมด ทำงานจิบไป เข้าห้องประชุมก็ถือแก้วน้ำเข้าไปด้วย รับรองว่าหากทำได้ ร่างกายของคุณจะไม่ขาดน้ำอีกต่อไป

ที่มา https://www.sanook.com/health/4557/

 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6 เดือน ธันวาคม  พ.ศ.2562

ทักทายกันหน่อย

            สวัสดีค่ะท่านผู้ปกครองและนักเรียนทุกคน แย้มสานสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่สองของภาคเรียนที่ 2 ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ เช่นเคยค่ะ แย้มสานฯฉบับนี้มีสาระน่ารู้ดีๆ ที่น่าสนใจมาฝากกันเหมือนเดิมค่ะ

 ข่าววิชาการ

            ทางโรงเรียนได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันวิชาการต่างๆดังต่อไปนี้

            1. เข้าร่วมการสอบแข่งขันประวัติศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ ครั้งที่ 12 ประจำปีการศึกษา 2562 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 ณ โรงเรียนสตรีวิทยา1 ผลการสอบระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-3) ได้รับรางวัลคะแนนผ่านเกณฑ์ ได้แก่  เด็กหญิงศิรภัสสร    ทองศาสตร์

 

            2. นักเรียนที่ได้เป็นตัวแทนระดับเขตเข้าร่วมการแข่งขันงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 69 ปีการศึกษา 2562 ระดับชาติ ณ จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 7-9 ธันวาคม 2562 ผลการแข่งขันมีดังนี้

ที่

รายการ

เหรียญ

อันดับ

ชื่อนักเรียน

1.

การแข่งขันอัจฉริยภาพทางคณิตศาสตร์ ป.1-ป.3

ทอง

รองชนะเลิศอันดับ 2

1.ด.ช. ปรเมศ  บำรุงเชาว์เกษม

2.

การแข่งขันสร้างสรรค์ผลงานคณิตศาสตร์โดยใช้โปรแกรม GSP ป.4-6

เงิน

18

1. ด.ญ. ชนิกานต์  ทองศาสตร์

2. ด.ญ. ศิรภัสสร  วงศ์สุวรรณ

3.

การแข่งขันเวทคณิต ป.1-ป.3

ทองแดง

16

1. ด.ช.พชรพัชร์ บุญเดชชัยกุล

กิจกรรมประจำเดือนธันวาคม

            4 ธันวาคม 2562              กิจกรรมวันพ่อ

            26-27 ธันวาคม 2562       สอบกลางภาคเรียนที่ 2 ชั้นอนุบาล 2 – ป.6

            ผู้ปกครองสามารถชมภาพกิจกรรมเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ของโรงเรียน  WWW.YAMVITAYACARN.COM

 

 สำนวนไทยน่ารู้

            ก่อร่างสร้างตัว    หมายถึง     ทำงานหาเงินเป็นกอบเป็นกำ ตั้งเนื้อตั้งตัวเป็นหลักฐาน

 ที่มา http://www.tewfree.com/คำสุภาษิต/

 สาระน่ารู้

12 คุณประโยชน์ของส้มที่ไม่ไก่กา เมื่อคุณรู้แล้วต้องไม่มองผ่าน

            ส้มเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน สามารถนำมาทำเครื่องดื่มให้ความสดชื่นกับร่างกายได้ นอกจากนี้ ส้มยังมีคุณค่าทางอาหารและประโยชน์อีกมากมาย เรามาดูกันดีกว่า 12 ประโยชน์ของส้มนั้นมีอะไรบ้าง

1. ผลไม้แก้ท้องผูก

            ส้มเป็นหนึ่งในผลไม้แก้ท้องผูกได้ เพราะมีใยอาหารสูง ช่วยในระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย โดยกินส้ม 1 ผลใหญ่ก็จะได้ใยอาหาร 2.0 กรัม

2. กระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย

 

            ส้มมีวิตามินซีไม่น้อย จึงทำให้ส้มจัดเป็นผลไม้กระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยป้องกันอาการป่วย ไปจนถึงอาการป่วยที่หนักหนาได้ เพราะเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีเราก็จะป่วยยาก เชื้อโรคและไวรัสต่างๆ ก็มีโอกาสจู่โจมเราได้น้อยนั่นเอง

3. ปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด

            หลังจากกินส้ม น้ำตาลฟรุกโตสในเนื้อส้มมีส่วนช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูง อีกทั้งไฟเบอร์ในส้มยังช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกทาง จึงจัดว่าส้มเป็นผลไม้ช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือดอีกชนิดหนึ่ง

4. ช่วยลดความดันโลหิต

            ส้มเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม และมีปริมาณโซเดียมค่อนข้างต่ำ จึงช่วยในกระบวนการไหลเวียนโลหิตได้ดี ทำให้ร่างกายควบคุมความดันโลหิตได้อย่างสมดุล และยังช่วยลดความดันเลือดในคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วย

5. ลดคอเลสเตอรอลในเลือด

            ในเนื้อส้มไม่มีคอเลสเตอรอล ขณะที่วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีในเนื้อส้มมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ โดยสารต้านอนุมูลอิสระจะเข้าไปปกป้องหลอดเลือดไม่ให้อนุมูลอิสระเข้ามาเกาะและก่อให้เกิดไขมันพอกพูนไปเรื่อยๆ จนก่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหัวใจ เป็นต้น

6. บำรุงหัวใจ

            โพแทสเซียมในส้มคือส่วนสำคัญที่ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ  นอกจากนี้ ในส้มยังมีวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ดีต่อการทำงานของหัวใจ ช่วยให้หัวใจเต้นในจังหวะปกติและช่วยในการไหลเวียนของเลือดให้เป็นไปอย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น

7. ลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไต

 

            มีการศึกษาพบว่า น้ำส้ม มีส่วนช่วยลดการเกิดนิ่วในไต โดยโพแทสเซียมในส้มจะช่วยยับยั้งการเกิดนิ่วต่างๆ ในร่างกาย และช่วยให้นิ่วถูกขับถ่ายออกมาพร้อมของเสียลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตและนิ่วในอวัยวะอื่นๆได้

8. ยับยั้งการเกิดแผลเปื่อย

            การศึกษาในวารสาร American College of Nutrition พบว่า ผู้ที่ได้รับวิตามินซีสูงจะมีโอกาสเกิดแผลเปื่อยได้น้อยกว่าคนที่ร่างกายได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอต่อความต้องการ และส้มก็เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากถึง 89% ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน

9. ลดความเสี่ยงโรคสโตรก

            อาการสโตรก (Stroke) เกิดจากการที่หลอดเลือดตีบ แตก ตัน ซึ่งการศึกษาจากมูลนิธิโรคหัวใจแห่งอเมริกา พบว่า การรับประทานผลไม้ประเภทซิตรัสอย่างส้มและเกรปฟรุตมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคสโตรกในผู้หญิงได้ถึง 19% เมื่อเทียบกับอาสาสมัครที่กินผลไม้ในกลุ่มซิตรัสน้อยกว่า

10. ป้องกันมะเร็ง

            ในเนื้อส้มมีสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ค่อนข้างสูง ซึ่งสารตัวนี้มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้  อีกทั้งเนื้อส้มที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ก็ยังช่วยขับเอาของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ออกมา จึงช่วยลดโอกาสเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกทาง นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาพบว่า สารซิตรัสในส้มสามารถต้านการเกิดมะเร็งช่องปาก มะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งกระเพาะอาหารได้ด้วย

11. ลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อม

            มีงานวิจัยที่เผยว่า เพียงกินส้มวันละผลก็ช่วยลดโอกาสเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้

12. ส้มช่วยบำรุงผิว

 

            สารต้านอนุมูลอิสระผสานกับพลังแห่งวิตามินซีมีส่วนช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกแสงแดดทำร้าย ปกป้องผิวจากมลพิษ ช่วยลดการเกิดริ้วรอย และช่วยบำรุงเซลล์ผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวดูกระชับตึงมากขึ้น เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารตั้งต้นของคอลลาเจนนั่นเอง

           ไม่เพียงแต่เนื้อส้มและน้ำส้มเท่านั้นที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเรา แต่อย่างที่บอกไว้ในตอนแรกว่าส้มมีประโยชน์ไปยันเปลือกเลย

ที่มา : www.kapook.com

มุมธรรมะ           

              วนฺทโก ปฏิวนฺทนํ    อ่านว่า      วันทะโก ปะติวันทะนัง

                                               แปลว่า     ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ

ที่มา:  https://my.dek-d.com/valences/blog/

มุมสุขภาพ

 สาเหตุ "ผิวแห้ง" ไม่ใช่แค่ลมหนาว หรือลมแอร์เท่านั้น

            ลมหนาวมาเยือนแล้ว สาว ๆ ที่มีผิวแพ้ง่าย อาจเสี่ยงกับผิวแห้งได้ง่าย แต่สาวๆ ที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องผิวก็มีโอกาสผิวแห้งได้เหมือนกัน หน้าหนาวจะเป็นช่วงที่อากาศแห้ง ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องสภาพแวดล้อม เช่น การอยู่ในห้องแอร์นาน ๆ อย่ารอให้ผิวของเราแห้งนะคะ เราต้องเตรียมความพร้อมครีมบำรุงผิว หน้า มือ อย่าได้ขาด เพื่อการดูแลผิวได้อย่างถูกวิธี

 

            พ.ญ.พนิดา จรรย์ศุภรินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง จาก Addlife Anti-Aging Center ชั้น 1 ไลฟ์เซ็นเตอร์ (คิวเฮ้าส์ ลุมพินี) ได้ให้ข้อมูลว่า ผิวแห้งคือสภาวะของผิวที่มีความไม่สบายตัวอาจมาด้วยอาการแห้ง คัน แสบ แดง หรือลอกเป็นขุยๆ อาการจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นกับระดับความแห้งและความกว้างของบริเวณผิวที่มีอาการ ซึ่งสาเหตุโดยทั่วไปการเกิดผิวแห้ง มักเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างร่วมกัน โดยแบ่งคร่าว ๆ ได้เป็นปัจจัยภายนอก(External cause) และปัจจัยภายใน (Internal cause)

สาเหตุของผิวแห้ง

            ปัจจัยภายนอก (External cause): สาเหตุของผิวแห้งส่วนใหญ่มาจากปัจจัยภายนอก ข้อดีก็คือการแก้ปัญหาผิวแห้งที่เกิดจากปัจจัยภายนอกสามารถแก้ได้ง่ายกว่า ตัวอย่างปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดปัญหาผิวแห้ง เช่น อากาศและสิ่งแวดล้อม ผิวแห้งจะเกิดในช่วงที่มีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำ ความชื้นในอากาศน้อย ส่งผลทำให้เกิดผิวแห้ง เช่น เวลาไปต่างประเทศอุณหภูมิติดลบจะมีปัญหาผิวแห้งง่ายหรือสาว ๆ ที่อยู่ในออฟฟิศนั่งอยู่ในห้องแอร์นานๆ ก็ทำให้ผิวแห้งได้เช่นกัน อีกทั้งการอาบน้ำด้วยน้ำร้อนจัด การใช้สบู่ หรือสารทำความสะอาดผิวที่รุนแรงไปก็จะไปทำลายน้ำมันที่มีอยู่ตามธรรมชาติในชั้นผิว

            ปัจจัยภายใน (Internal cause): ได้แก่ สุขภาพโดยรวม อายุ โรคประจำตัว เช่น มีประวัติเป็นผื่นแพ้ผิวหนังตั้งแต่เด็ก หรือคนที่มีภาวะการทำงานของฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำกว่าปกติ โรคเบาหวานก็มักพบมีผิวแห้งง่าย  การกินยา ทายาบางชนิดก็มีผลทำให้ผิวแห้งเช่นกัน เช่น การกินยารักษาสิว หรือยาที่ลดการเกิดสิวบางตัว การขาดสารอาหารบางตัว เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี ซิงค์ ก็ทำให้ผิวแห้งเช่นกัน

 

            ลักษณะของผิวแห้งจะมีอาการคัน เป็นอาการที่พบได้บ่อยในบริเวณที่มีผิวแห้ง ผิวมีความหยาบกร้าน จับดูแล้วไม่เรียบอาจแห้งลอกเป็นขุย ๆ ถ้าเป็นมากอาจมีอาการแสบแดงเหมือนผิวหนังอักเสบ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางผิวหนังตามมาได้ ตำแหน่งที่เกิดผิวแห้งได้บ่อย คือ ใบหน้า มือ แขน ขาล่าง อาการผิวแห้งโดยทั่วไปสามารถดีขึ้นได้ เมื่อมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือลดปัจจัยที่ทำให้เกิดผิวแห้งขึ้น แต่หากเมื่ออาการไม่ดีขึ้นเลยแม้ทำทุกวิถีทางแล้ว  มีอาการคันมากจนรบกวนการนอนหลับ อาการผิวแห้งมาพร้อมกับอาการอักเสบ เช่น แสบแดง ร้อนหรือบวม มีอาการคันมากเกาจนเป็นแผลมีลักษณะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ  ผิวหนังหลุดลอกเป็นแผ่นหรือเป็นขุย ลักษณะนี้ควรรีบไปปรึกษาแพทย์

ทั้งนี้ใคร ๆ ก็อาจเกิดภาวะผิวแห้งขึ้นได้ คนที่มีความเสี่ยงจะเกิดผิวแห้งได้ง่าย เช่น

- คนที่มีอายุเกิน 40 ปี เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังก็จะมีโอกาสสูญเสียความชุ่มชื้นได้มากขึ้น

- อาศัยอยู่ในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น หรืออยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน

- คนที่ต้องทำงานที่ต้องสัมผัสน้ำหรือสารเคมี เช่น พนักงานล้างจาน ช่างสระผม

- การทำงานหรือมีกิจกรรมกลางแจ้ง ต้องตากแดดเป็นเวลานาน ก็ทำให้ผิวแห้ง เสียความชุ่มชื้นได้

- การว่ายน้ำ โดยเฉพาะสระน้ำประเภทคลอรีน หากว่ายเป็นประจำผิวก็จะแห้งได้เช่นกัน

คุณหมอจึงมีข้อแนะนำและการดูแลเบื้องต้นสำหรับคนที่มีปัญหาผิวแห้งดังนี้

            - พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ผิวแห้ง เช่น การอาบน้ำร้อนจัด การใช้สบู่หรือสารทำความสะอาดที่รุนแรงเกินไป

            - หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่หนาวจัด หรือร้อนจัดจนเกินไป

            - หลีกเลี่ยงการใช้ครีม หรือสารที่อาจทำอันตรายต่อชั้นผิว

            - ทาครีมบำรุงผิวที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ โดยการเลือกครีมที่ใช้ ควรเป็นครีมที่เน้นให้ความชุ่มชื้น ไม่ผสมน้ำหอมกลิ่นฉุนหรือสารเคมีที่อาจทำให้ผิวมีการระคายเคือง เช่น Paraben, Alcohol เป็นต้น

            - ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่พอเหมาะ

            - สารอาหารหลายชนิดช่วยให้ผิวแข็งแรง ยกตัวอย่างเช่น วิตามินเอ บี ซี แร่สังกะสี เป็นต้น

            เมื่อรู้ต้นเหตุของผิวแห้งแล้ว ควรหลีกเลี่ยงและหาวิธีป้องกันอย่ารอให้ผิวแห้งค่อยดูแล เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์นะคะ

 

ที่มา : https://www.sanook.com/health/19125/

 

เกมส์ลับสมอง ประลองปัญญา

 

คำชี้แจงวงล้อมรอบคำที่หาเจอในตารางต่อไปนี้ มีทั้งหมด 10 คำ

 

วั

ก็

ทู

น้ำ

อิ

ก่

ตู้

ย็

ร้

ทั

นั

มี

ห่

สื

จี

ตำ

มั

คุ

ส้

คำใบ้

1. เป็นอาหารชนิดหนึ่งก้อนสีขาวลูกกลมๆ              2. ภาษาอีสานเรียกว่า ข้าวปุ้น

3. เป็นจังหวัดหนึ่งของภาคอีสาน                             4. ทำขึ้นเพื่อใช้ในวันเพ็ญเดือน12

5. เป็นอาหารที่ใช้ใบตองห่อแล้วนึ่ง                         6. เป็นสิ่งที่ใช้ใส่ของ

7. เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องกินเป็นของกับข้าว            8. ใช้อ่านและเรียน

 9. ใช้แช่อาหารให้อยู่ได้นานขึ้น                              10. เป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของภาคอีสาน

ปีที่ 18 ฉบับที่ 7 เดือน มกราคม   พ.ศ.2563

ทักทายกันหน่อย

            สวัสดีค่ะท่านผู้ปกครองและนักเรียนทุกคน ก่อนอื่นแย้มสานสัมพันธ์ขอกล่าวคำว่าสวัสดีปีใหม่ทุกท่านนะคะ ปีหนูทองนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุข มากๆ สุขภาพแข็งแรงกันทุกท่านนะคะ นอกจากนี้แล้วแย้มสานสัมพันธ์ยังมีสาระน่ารู้ดีๆ มาฝากกัน เหมือนเดิมค่ะ

 ข่าววิชาการ

            ทางโรงเรียนได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันวิชาการต่างๆดังต่อไปนี้

 

            1. โรงเรียนได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันวิชาการและสิ่งประดิษฐ์โรงเรียนเอกชน ณ โรงเรียนวัดบ้านโป่งสามัคคีคุณูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 12-13 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ผลการแข่งขันมีดังนี้

 

ที่

รายการ

ช่วงชั้น

ลำดับที่

เหรียญ

ชื่อ-นามสกุล

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ

 

 

 

 

1.

การแข่งขันแกะสลักผลไม้

2

3

ทอง

1.ด.ญ.ชุตินันท์  พุกโสภา

2.ด.ญ.ญาณิศา  อาจปักษา

3. ด.ญ. วีรดา  วีรเสนีย์

2.

การแข่งขันประดิษฐ์ชุดจากวัสดุรีไซเคิล (เกรดเฉลี่ยน้อยกว่า 2.20)

2

3

ทอง

1. ด.ญ. ธนัชชา  สมจิตร์

2.ด.ช.เดชาวัต  อำนวยผล

3. ด.ช. ทิพากร  หนูเล็ก

ที่

รายการ

ช่วงชั้น

ลำดับที่

เหรียญ

ชื่อ-นามสกุล

 

กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

 

 

 

 

3.

การทำหนังสือเล่มเล็ก (กิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน)

2

8

เงิน

1. ด.ญ. วรรณวริน  จอกลอย

2. ด.ญ. งขวัญจิรา  สุวรรณ

3. ด.ญ. กัณยากรณ์  ร่มโพธิ์รีย์

4.

การผูกเงื่อน เดินทรงตัวและโยนบอล (กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาดผู้บำเพ็ญประโยชน์)

1

4

เงิน

1. ด.ช. คณิศร ไตรสรณะกุล

2. ด.ช. ภูกวิน  ศรศิลป

3. ด.ช. ประวีร์  มะระ

4. ด.ช. พงศกร  คล้ายเอี่ยม

5. ด.ช. ศุภณัฐ   หมีไพร

6. ด.ช. เตชิต   จูทอง

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์

 

 

 

 

5.

การแข่งขันสร้างสรรค์ผลงานทางคณิตศาสตร์โดยใช้โปรแกรม GSP

2

1

ทอง

1. ด.ญ. ชนิกานต์  ทองศาสตร์

2. ด.ญ. ศศิภัสสร  วงศ์สุวรรณ

(ได้เป็นตัวแทนไปแข่งต่อ)

6.

การแข่งขันอัจฉริยภาพทางคณิตศาสตร์

1

2

ทองแดง

1. ด.ช. รเมศ  บำรุงเชาว์เกษม

(ได้เป็นตัวแทนไปแข่งต่อ)

7.

การแข่งขันอัจฉริยภาพทางคณิตศาสตร์

2

3

ทอง

1.ด.ช.ณัฐกิตติ์  โพธิ์พุทธรักษา

8.

การแข่งขันคิดเลขเร็ว

1

4

เงิน

1. ด.ช. อัคพนธ์   อินบาง

9.

การแข่งขันคิดเลขเร็ว

2

2

เข้าร่วม

1. ด.ช. ธนวรรธน์  มาลัย

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ดนตรี

 

 

 

 

 10.

การแข่งขันขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ (หญิง)

1-2

7

ทอง

1. ด.ญ. ภัคชุดา อึ้งอัมพร

11.

การแข่งขันขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ (ชาย)

1-2

4

เงิน

1. ด.ช. ชัยพร   ศิขรินพร

ที่

รายการ

ช่วงชั้น

ลำดับที่

เหรียญ

ชื่อ-นามสกุล

12.

การแข่งขันวาดภาพระบายสี

1

18

ทองแดง

1. ด.ญ. เขมพิชญ์  วงค์อารีย์

13.

การแข่งขันวาดภาพระบายสี

2

16

เงิน

1.ด.ญ.ชัญญานุช  หอมทิพย์

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้เทคโนโลยี

 

 

 

 

14.

การแข่งขันวาดภาพด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก

1

3

ทอง

1. ด.ญ.กาญจน์กิตติญา   คงถาวร

2.ด.ญ.ชญาดา ปฐมสุริยะพร

15.

การแข่งขันโปรแกรมนำเสนอ (Presentation)

2

3

ทอง

1. ด.ช.พีรวิชญ์  ไกรกิจธนโรจน์

2. ด.ช. วิกรม   เนยน้อย

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ

 

 

 

 

16.

การแข่งขันพูดภาษาอังกฤษ (Impromptu Speech) หลักสูตรสามัญ

1

12

เงิน

1.ด.ญ. พิมพ์มาดา โตประพันธ์

17.

การแข่งขันพูดภาษาอังกฤษ (Impromptu Speech)

(หลักสูตรสามัญ)

2

11

เงิน

1. ด.ญ. ปริณตรา  น่วมนา

18.

Multi Skill Competition

(หลักสูตรสามัญ)

2

8

ทองแดง

1. ด.ญ. สุวิชญา  ทิมอรรถ

19.

การแข่งขัน Spelling Bee หลักสูตรสามัญ

1

5

ทองแดง

1. ด.ช. ศรีสุริยา  พูลสุวรรณ

20.

การแข่งขัน Spelling Bee หลักสูตรสามัญ

2

11

เข้าร่วม

1.ด.ช.ภูริวัฒน์  อักษรอินทร์

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

 

 

 

 

21.

คัดลายมือสื่อภาษาไทย

1

10

ทอง

1. ด.ญ. วิสาขา   ปัจฉา

22.

คัดลายมือสื่อภาษาไทย

2

7

ทอง

1. ด.ญ. ตีรณา  มุกดา

23.

เรียงร้อยถ้อยความ (เขียนเรื่องจากภาพ)

1

9

ทอง

1.ด.ญ.วรดา  ดอนเดือนไพร

ที่

รายการ

ช่วงชั้น

ลำดับที่

เหรียญ

ชื่อ-นามสกุล

24.

เรียงร้อยถ้อยความ (เขียนเรียงความ)

2

14

เงิน

1. ด.ญ. ณัฏฐณิชา  จังพานิช

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

 

 

 

 

25.

การแข่งขันการแสดงทางวิทยาศาสตร์ (Science Show)

2

2

ทอง

1. ด.ญ. พลอยปภัส  หื่ออินทร์

2. ด.ช. อธิวัฒน์   กองเผือก

3. ด.ญ. อนงค์รัตน์   ลำพอง

(ได้เป็นตัวแทนไปแข่งต่อ)

26.

การประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสิ่งประดิษฐ์

2

6

เงิน

1. ด.ช. ภควรรษ  กลิ่นหอม

2. ด.ช. ภูธิศ   สุธาพจน์

3. ด.ญ. ระพีพรรณ   เพียงพานิช

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

 

 

 

 

27.

ประกวดมารยาทไทย (ชาย,หญิง)

1

8

ทอง

1. ด.ญ. จอมขวัญ  เจริญธรรม

2. ด.ช. เอกราช  พุ่มเกษม

28.

ประกวดมารยาทไทย (ชาย,หญิง)

2

2

ทอง

1. ด.ญ. ณัชชา  มาประดิษฐ์กุล

2. ด.ช. ธีรเดช  อนันตศักดิ์

(ได้เป็นตัวแทนไปแข่งต่อ)

29.

การเล่านิทานคุณธรรม

1

9

ทอง

1. ด.ญ. จิดาภา  ไชยพันธุ์

 

กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา

 

 

 

 

30.

ตอบปัญหาสุขศึกษาและพลศึกษา

1-2

8

ทองแดง

1. ด.ช. จิราวัฒน์   สาตเวช

2. ด.ช. ธนพัฒน์  ประธานสกุล

 

สาระการเรียนรู้ปฐมวัย

 

 

 

 

31.

การประกวดมารยาทไทย (ชายหญิง)

อ.1-3

12

ทอง

1. ด.ช. ชวนนท์  แสงสร้อย

1. ด.ญ. จิดาภา  สร้อยน้ำ

ที่

รายการ

ช่วงชั้น

ลำดับที่

เหรียญ

ชื่อ-นามสกุล

32.

การวาดภาพระบายสีด้วยสีเทียน

อ.1-3

5

ทอง

1. ด.ช. ปัณณวิชญ์  ดีมา

33.

การปั้นดินน้ำมัน

อ.1-3

23

ทอง

1. ด.ญ. ธัญพร  ฉมาเมธากุล

2. ด.ญ. กัญญดา  น้อยจริง

3. ด.ญ. ชญานุศภัฒน์  ฤทธิ์เดช

34.

การสร้างภาพด้วยการฉีก ตัด ปะ กระดาษ

อ.1-3

12

ทอง

1. ด.ญ. พัชรีพร  ปังพิพัฒน์

2. ด.ญ. ณัฐนรี   ชูพุทธพงษ์

3. ด.ญ. โซฟียา  อินทรวัชระ

2. นักเรียนชั้นป.6 ได้สมัครสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนสาธิตศิลปากร จังหวัดนครปฐม ผลการสอบมีดังนี้

            2.1. เด็กชายณัฐกิตติ์         โพธิ์พุทธรักษา    ติดตัวจริง

            2.2. เด็กหญิงพราวพิชชา  ไชยภูมิสกุล        ติดตัวสำรอง

            2.3. เด็กหญิงชนิกานต์      ทองศาสตร์         ติดตัวสำรอง

            3. นักเรียนชั้นป.6 ได้สมัครสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จังหวัดเพชรบุรี ผลการสอบรอบแรกผ่านจำนวน 11 คน รอสอบรอบที่ 2 วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2563 มีรายชื่อดังต่อไปนี้

            1. เด็กหญิงชนิกานต์        ทองศาสตร์

            2. เด็กหญิงชลิตา             รุ่งสว่าง

            3. เด็กชายณัฐกิตติ์            โพธิ์พุทธรักษา

            4. เด็กหญิงณิชาภัทร        นวโพธาสกุล

            5. เด็กชายธนวรรธน์        มาลัย

            6. เด็กหญิงพราวพิชชา     ไชยภูมิสกุล

 

            7. เด็กชายไรวินท์            นุ่มอ่อน

            8. เด็กชายวรรณวริน        จอกลอย

            9. เด็กชายศุภวิชญ์           แก้วโกษา

            10. เด็กชายสรรค์ชากรณ์   กาญจนประดิษฐ์

            11. เด็กชายอิษวัต รัตนสิริรัตน์

****ทางโรงเรียนขอแสดงความยินดีกับนักเรียนทุกๆคนด้วยนะคะ****

กิจกรรมประจำเดือนธันวาคม

            9 มกราคม 2563              กิจกรรมกีฬาสี

            10 มกราคม 2563            กิจกรรมวันเด็ก

                                                    กิจกรรมหนูน้อยยอดนักเต้น

                                                    กิจกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ

            17 มกราคม 2563            กิจกรรมวันวิชาการ

            19 มกราคม 2563             ประกาศผลสอบ อ.2- ป.6

            24 มกราคม 2563             หยุดวันตรุษจีน

                 ผู้ปกครองสามารถชมภาพกิจกรรมเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ของโรงเรียน  WWW.YAMVITAYACARN.COM

 สำนวนไทยน่ารู้

     ตักบาตรอย่าถามพระ    หมายความว่า      จะให้อะไรแก่คนอื่น อย่าไปถามเขาว่าเอาไหม อยากได้ไหม

 

 

 

 ที่มา : http://www.tewfree.com/คำสุภาษิต/

สาระน่ารู้

มหัศจรรย์ "ดอกเกลือ" กับคุณประโยชน์รอบด้าน

            ดอกเกลือ เป็นวัตถุดิบอย่างหนึ่งที่ได้จากการผลิตเกลือทะเล ซึ่งพบว่ามีประโยชน์มากมายอย่างที่เราคาดไม่ถึงกันเลยค่ะ โดยเฉพาะในด้านการรักษาโรค การดูแลสุขภาพร่างกายและผิวพรรณ วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับดอกเกลืออย่างละเอียดและวิธีการใช้ที่ถูกต้อง

มาทำความรู้จักกับ ดอกเกลือ กันเถอะ

            ดอกเกลือคือผลผลิตแรกของการทำนาเกลือ ซึ่งมีลักษณะเป็นเกลือทะเลที่อยู่บนผิวน้ำ หากชิมรสจะมีความรู้สึกว่าไม่เค็มมากเท่าไรและมีความหวานบ้างเล็กน้อยดอกเกลือที่มีความบริสุทธิ์มากๆ จะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลากหลายชนิด เช่น ไอโอดีน แคลเซียม และแมกนีเซียม เป็นต้น ดอกเกลือยังมีค่าความชื้นสูงกว่าเกลือธรรมดาทั่วไปถึง 5 เท่า ทำให้สามารถนำแร่ธาตุเหล่านั้นซึมซับสู่ผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นที่นิยมในการนำมาใช้รักษาโรคผิวหนัง และใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์สปา รวมไปถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

ดอกเกลือ กับ เกลือทั่วไป มีความแตกต่างกันอย่างไร

            หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าดอกเกลือนั้นมีความแตกต่างจากเกลือธรรมดาอย่างไร นอกจากจะมีความบริสุทธิ์สะอาดมากกว่าเกลือเม็ดทั่วไปแล้วยังมีความแตกต่างในหลายๆด้านดังนี้

1. รสชาติ

            ดอกเกลือจะมีความเค็มน้อยกว่าเกลือทั่วไป ซึ่งตอบโจทย์ให้กับคนที่ต้องการลดระดับความเค็มลงมาได้

2. ราคา

 

            เนื่องจากดอกเกลือมีปริมาณน้อยและหายากเมื่อเทียบกับเกลือทั่วไป จึงทำให้ดอกเกลือมีราคาสูงกว่า

3. การใช้ประโยชน์

            ดอกเกลือกับเกลือทั่วไปต่างก็มีประโยชน์ที่แตกต่างกันไป กล่าวคือ ดอกเกลือใช้สำหรับในการรักษาสุขภาพในด้านโรค ด้านความงาม และการปรุงอาหารที่ไม่ต้องการรสเค็มมากนัก ส่วนเกลือทั่วไปจะให้ประโยชน์ทางด้านการปรุงอาหารประเภทกะปิ ปลาร้า หรือซอสและผักดอง เป็นต้น

ดอกเกลือกับการใช้รักษาโรค

            ด้วยความที่ดอกเกลือนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ มากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย ดังนั้นหากใครเป็นโรคที่กล่าวถึงมานี้ เราสามารถใช้ดอกเกลือช่วยบรรเทาอาการหรือรักษาโรคอย่างง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง

1. กลาก เกลื้อน และโรคสะเก็ดเงิน

            ให้นำดอกเกลือผสมน้ำแล้วนำมาอาบบริเวณที่เป็นโรค

2. ปวดข้อต่อ

            นำดอกเกลือละลายกับน้ำอุ่น แล้วใช้ผ้าชุบน้ำ จากนั้นให้ประคบตรงข้อต่อที่ปวด

3. กลิ่นเท้าเหม็น

            นำดอกเกลือผสมกับน้ำอุ่นแล้วแช่เท้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ทำซ้ำบ่อย ๆ

4. รักษาเชื้อราบนหนังศีรษะ

            นำดอกเกลือผสมกับน้ำเล็กน้อย แล้วขัดหนังศีรษะให้ทั่ว เมื่อขัดแห้งแล้วให้ล้างออกเพื่อขจัดเศษเกลือ

5. ผมร่วง

 

            นำดอกเกลือละลายในน้ำอุ่น แล้วจุ่มผมลงไปให้เปียกชุ่มจนถึงหนังศีรษะ นวดหนังศีรษะประมาณ 3 นาที จากนั้นหมักไว้ด้วยการโพกผ้าขนหนูอีก 3 นาทีเช่นเดียวกัน เสร็จแล้วก็สระผมให้สะอาดและควรทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้ง

6. โรคช่องปาก

            นำดอกเกลือผสมกับยาสีฟัน หรือ นำมาผสมกับน้ำแล้วบ้วนปากก็ได้

ดอกเกลือ กับสุขภาพความงาม

            เมื่อสุขภาพความงามนั้นกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยในยุคนี้ หลายคนจึงสรรหาวิธีการมากมายที่จะช่วยถนอมดูแลผิวพรรณให้ดีที่สุด ซึ่งดอกเกลือก็สามารถช่วยในด้านนี้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการนำมาผสมกับน้ำมันที่มาจากธรรมชาติหรือส่วนผสมอื่นๆ สำหรับการสครับผิวหรือขัดผิว ช่วยในเรื่องของผิวพรรณดังนี้

1. แก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ลดรอยจุดด่างดำ

            จากสถาบันวิจัยเกลือ ในสหรัฐอเมริกา พบว่า ดอกเกลือสามารถลดรอยจุดด่างดำ รอยหมองคล้ำ แก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอได้เป็นอย่างดี มีแร่ธาตุโพแทสเซียมช่วยให้ผิวสดชื่นขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

2. ผลัดเซลล์ผิว ขจัดสิ่งตกค้าง

            เพียงนำดอกเกลือมาผสมครีมอาบน้ำหรือสมุนไพรต่างๆมาขัดผิว จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก ทำเพียง 1 ครั้ง/สัปดาห์จะสังเกตได้ว่าผิวจะดูผ่องสดใสมากขึ้น เพราะดอกเกลือมีคุณสมบัติในขจัดสิ่งสกปรกตกค้างและความมันส่วนเกินในร่างกาย

3. ล้างสารพิษ ดีท็อกซ์ผิว

            ความเข้มข้นของดอกเกลือมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค แร่ธาตุโพแทสเซียมแมกนีเซียม ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต จึงทำให้ผิวดูผ่องใส เปล่งปลั่งและตึงกระชับ

            มหัศจรรย์ของดอกเกลือกับคุณประโยชน์รอบด้านจากที่เราได้กล่าวมาข้างต้นนี้คงจะดีไม่น้อย หากเราหันกลับมาใส่ใจดูแลตัวเองกันมากขึ้นเพื่อสุขภาพและผิวพรรณที่ดีของเรา                         

ที่มา :  https://www.sanook.com/health/19313/

 

มุมธรรมะ

 

            สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ  อ่านว่า  สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ

                                                       แปลว่า  การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง

ที่มา https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=srisurat&month

 

มุมสุขภาพ

อาหาร "ออร์แกนิค" ลดความเสี่ยง "มะเร็ง" ได้จริงหรือไม่ ?

            อาหารออร์แกนิค เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในช่วงหลายปีมานี้และยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องไม่ลดลง หลายๆ คนมีความเชื่อว่าการรับประทานอาหารออร์แกนิคลดความเสี่ยงมะเร็งและมีส่วนในการช่วยให้สุขภาพดีขึ้น มีความปลอดภัยต่อร่างกายมากกว่า แถมยังมีรสชาติที่ดีกว่า วันนี้ Hello คุณหมออยากจะชวนทุกคนมาหาคำตอบเรื่อง อาหารออร์แกนิค ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งกันได้จริงหรือไม่

ทำความเข้าใจเรื่องผลิตภัณฑ์ ออร์แกนิค

            คำว่า ออร์แกนิค (Organic) เป็นคำที่ใช้เรียกกระบวนการการผลิตอาหารรูปแบบหนึ่งที่มีการปลูกหรือเพาะเลี้ยงโดยไม่ใช้สารเคมี ฮอร์โมนหรือสารกำจัดวัชพืชศัตรูพืชต่างๆ และไม่ใช้พืชที่มีการตัดแต่งพันธุกรรม (GMO) ในการเพาะปลูก นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์จากออร์แกนิคยังไม่มีส่วนผสมของสารกันบูด สีผสมอาหารและผงชูรสอีกด้วย

 

            การปลูกพืชออร์แกนิคมักใช้ปุ๋ยที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยที่หมักจากซากพืช มูลสัตว์ ซึ่งปุ๋ยคอกที่ใช้ก็จะต้องได้มาจากมูลสัตว์ที่มีการเลี้ยงแบบออร์แก- นิคด้วย ไม่ฉีดฮอร์โมนหรือให้ยาปฏิชีวนะใดๆ นอกจากประโยชน์ต่อสุขภาพที่จะได้รับจากการรับประทานอาหารออร์แกนิคแล้ว การทำเกษตรแบบออร์แกนิคยังมีส่วนช่วยให้คุณภาพดินและสิ่งแวดล้อมดีขึ้นอีกด้วย อาหารออร์แกนิคก็มีมากมายหลายรูปแบบด้วยกัน ทั้งแบบที่แปรรูปและะผัก ผลไม้แบบสดไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ข้าว นมหรือผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปแล้ว

ความเกี่ยวข้องระหว่างสารกำจัดศัตรูพืชกับโรคมะเร็ง

            สารกำจัดศัตรูพืชเป็นสารที่ถูกใช้เพื่อป้องกันไม่ให้พืชเกิดเชื้อรา รวมไปถึงป้องกันแมลงและศัตรูพืชอื่นๆ ไม่ให้เข้าทำลายกัดกินพืชที่เราปลูก หน่วยงานป้องกันสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำว่า สารกำจัดศัตรูเพิ่มความเสี่ยงในการทำให้สุขภาพแย่ลง

            สารเคมีบางชนิดที่ใช้ในเชิงเกษตร มีส่วนเกี่ยวข้องทีทำให้เกิดโรคมะเร็งบางชนิดได้ แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยที่รับรองหรือมีหลักฐานยืนยันมากเพียงพอว่า สารเคมีที่ใช้กำจัดศัตรูพืชมีส่วนทำให้เกิดโรคมะเร็งได้จริงๆ เพราะสารกำจัดศัตรูพืชมีสารเคมีหลาหลายชนิดเป็นส่วนประกอบ และปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็งก็มาจากหลายปัจจัยเช่นกัน ทำให้เป็นการยากที่จะระบุว่าสารกำจัดศัตรูพืชมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง แต่อย่างไรก็ตาม สารเคมีที่ตกค้างในผักและผลไม้ก็มีผลเสียต่อสุขภาพอยู่ไม่น้อย

อาหารออร์แกนิค ลดความเสี่ยงมะเร็ง ได้จริงหรือไม่

            นักวิจัยสรุปไว้ว่า การบริโภคอาหารออร์แกนิคอย่างสม่ำเสมอ มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดได้ ถึงแม้ว่าจะยังมีงานวิจัยไม่มากเพียงพอที่จะรับรองว่าอาการออร์แกนิคมีส่วนช่วยในการลดการเกิดโรคมะเร็ง แต่ว่าการเลือกรับประทานอาหารออร์แกนิคถือเป็นวิธีการป้องกันโรคมะเร็งที่ดีอีกรูปแบบแบบหนึ่ง

            แต่ไม่ใช่ว่าการบริโภค อาหารออร์แกนิคลดความเสี่ยงมะเร็งได้เลยทีเดียว ยังมีผู้ที่บริโภคอาการออร์แกนิคป่วยเป็นโรคมะเร็งเช่นกัน อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ว่ามีปัจจัยหลายๆ อย่างที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ ดังนั้นพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไปในแต่คนอาจส่งผลให้เกิดความสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้

            ดังนั้นจริงๆ แล้วการรับประทานอาหารออร์แกนิคไม่ใช่เรื่องเดียวที่จะทำให้ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้ เพราะยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตอื่นๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งได้อีก ดังนั้นเหตุผลที่จะเลือกรับประทานอาหารออร์แกนิคเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งอาจจะไม่เหมาะนัก แต่ควรเลือกเพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพและช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นได้

ที่มา https://www.sanook.com/health/19325/

 

เกมส์ลับสมอง ประลองปัญญา







Copyright © 2012 All Rights Reserved.
โรงเรียนแย้มวิทยการ 114 ถ. โพธาราม-บ้านเลือก อ.โพธาราม จ.ราชบุรี 70120 โทร 032231-336 Fax 032354-585 มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำวิชา พลานามัยดี